Top 10 Biggest Gainers: Which Coins Have Gained the Most This Year?

## Telcoin (TEL) คืออะไร?

Telcoin (TEL) เป็นคริปโตที่มีระบบแบบกระจายอำนาจบน Ethereum ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม 2017 ในสิงคโปร์ เพื่อเป็นสะพานเชื่อมระหว่างคริปโต, บล็อคเชนและอุตสาหกรรมโทรคมนาคม

โครงการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นพันธมิตรกับผู้นำในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเช่น Verizon และ AT&T เพื่อขจัดความยุ่งยากที่มีอยู่ระหว่างแพลตฟอร์มการเรียกเก็บเงินและการเงินในมือถือ

จุดสนใจหลักของ Telcoin คือตลาดการโอนเงิน ซึ่งปัจจุบัน Western Union เป็นผู้นำที่ชัดเจน Telcoin ร่วมมือกับระบบโทรคมนาคมระดับโลกและแพลตฟอร์มการเงินในมือถือเพื่อให้บริการโอนเงินดิจิทัลความเร็วสูงและต้นทุนต่ำไปยังแพลตฟอร์มการเงินในมือถือและ e-wallets ของผู้ใช้งาน

Telcoin (TEL) เป็นโทเค็น ERC-20 ที่ใช้งานบนบล็อคเชนของ Ethereum  TEL ใช้ในระบบนิเวศของ telecoin สำหรับการชำระเงินบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ

### ใครคือผู้ก่อตั้ง Telcoin?

Paul Neuner และ Claude Eguienta ได้ร่วมก่อตั้ง Telcoin ในปี 2017 เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถโอนเงินไปทั่วโลกได้ในเวลาไม่กี่วินาที Paul Neuner ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานของ Telcoin ได้สะสมประสบการณ์มามากกว่า 12 ปี ในด้านโทรคมนาคมก่อนที่จะเข้าสู่โลกของบล็อคเชน

การมีส่วนร่วมครั้งแรกของเขาในฐานะผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเริ่มต้นด้วย Mobius ที่เริ่มต้นในการให้บริการการจัดการการฉ้อโกงสำหรับเครือข่ายมือถือ ในปี 2012 เขาก่อตั้ง Pangea KK ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์แอปพลิเคชั่นบนมือถือ ที่ตั้งอยู่ในเมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

ก่อนก่อตั้ง Telcoin ในเดือนมีนาคม 2017 เขาเริ่มต้นโครงการ Ikou ซึ่งเป็นแอพบนอุปกรณ์เคลื่อนที่สำหรับสร้างและจัดกิจกรรม ในปีพ.ศ. 2018 เขาเริ่มก่อตั้ง Sedona ซึ่งให้บริการด้านดารจัดการการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมในอนาคต ซึ่งมุ่งเน้นที่การรักษาความปลอดภัยให้กับบริการทางการเงินบนมือถือ

Claude Eguienta ทำหน้าที่เป็น CEO ของ Telcoin และเป็นหัวหน้าโครงการ เขามีปริญญาด้าน MS ในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ ซึ่งเขาเน้นไปที่ระบบแบบกระจาย กว่าทศวรรษที่ Claude ทำงานให้กับสตาร์ทอัพและบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่มุ่งเน้นการให้บริการทางการเงินที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า

### อะไรที่ทำให้ Telcoin ไม่เหมือนใคร?

จุดเด่นของ Telcoin คือตลาดการโอนเงิน แม้ว่าจะมีโทรศัพท์มือถือเกือบห้าเครื่องที่ผูกไว้กับบัญชีธนาคาร แต่ผู้คนยังคงรอคิวที่ส่งเงินจากตัวแทนการโอนเงินที่มีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่ง Western Union เป็นรายใหญ่ที่สุด

จากการใช้ประโยชน์จากพลังของบล็อคเชน Telcoin กำลังนำทางเลือกที่เร็วกว่ามาสู่ผู้คน และยังมีต้นทุนต่ำในการใช้บริการโอนเงินอีกด้วย เพื่อให้บรรลุสิ่งนี้ Telcoin ได้ทำงานร่วมกับผู้ให้บริการมือถือและ e-wallets ทั่วโลก ทำให้พวกเขาสามารถเข้าถึงฐานผู้ใช้ในวงกว้างด้วยบริการแบบไร้การสัมผัส

เช่นเดียวกับสินทรัพย์ดิจิทัลแบบกระจายอำนาจประเภทอื่น ๆ Telcoin ให้ผู้ใช้เข้าถึงเงินของพวกเขาผ่านทางโทรศัพท์ได้อย่างเต็มรูปแบบ ผู้ใช้สามารถส่งและรับเงินได้จากทุกที่ทั่วโลก โครงการนี้ยังเน้นที่ผู้ใช้ ทำให้แพลตฟอร์มมีความเป็นมิตรกับผู้ใช้และใช้งานง่ายที่สุด

ผู้ให้บริการโทรคมนาคมที่เชื่อมต่อกับเครือข่าย Telcoin สามารถออกโทเค็น TEL ได้ทันที เครือข่ายมีการให้สิ่งจูงใจ ยิ่งผู้ให้บริการมีการรับส่งข้อมูลโทเค็น TEL มากเท่าใด เขาก็ยิ่งได้รับสิ่งจูงใจจากเครือข่ายมากขึ้นเท่านั้น

รูปแบบของจูงใจที่ Telcoin ก็คือการให้บริการที่มีค่าธรรมเนียมต่ำมากซึ่งดึงดูดผู้ใช้ปลายทาง แต่ยังคงสร้างผลกำไรสำหรับเครือข่าย Telcoin

#### หน้าที่เกี่ยวข้อง:

ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ [Pundi X (NPXS)](https://coinmarketcap.com/th/currencies/pundi-x/markets/)

[บิทคอยท์ช่วยยกระดับตลาด altcoin ได้จริงหรือ?](https://coinmarketcap.com/alexandria/article/does-bitcoin-really-lift-the-altcoin-market) ค้นหาความเชื่อมโยงระหว่างตลาดทั้งสอง

เรียนรู้เกี่ยวกับคริปโตเคอร์เรนซีด้วย [CMC Alexandria](https://coinmarketcap.com/alexandria/article/9-things-to-know-before-investing-in-cryptocurrency)

ติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับตลาดคริปโตด้วย [CoinMarketCap blog](https://blog.coinmarketcap.com/)

### มีโทเค็น Telcoin (TEL) จำนวนเท่าใดในการหมุนเวียน?

Telcoin สร้างขึ้นบนบล็อคเชนของ Ethereum เมื่อเปิดตัวในปี 2017 โดยมีการแจกจ่ายโทเค็นจำนวน 25% ให้กับนักลงทุน อีก 15 % ถูกเก็บไว้โดยทีม Telcoin โดยแบ่งไปที่กองทุนเพื่อสภาพคล่องจำนวน 5 %

สิ่งจูงใจของผู้ให้บริการโทรคมนาคมที่อธิบายข้างต้นคิดเป็น 50% ของโทเค็นทั้งหมด สิ่งจูงใจของชุมชนและเพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่องคิดเป็น 5% ของโทเค็น TEL ทั้งหมด

โครงการเปิดตัวด้วยโทเค็น TEL จำนวนคงที่ โทเค็นสูงสุดบนเครือข่ายถูกกำหนดไว้ที่ 100,000,000,000 TEL ปัจจุบันมีการออกโทเค็นแล้วประมาณ 50 % (50,270,110,195 TEL)

### Telcoin มีความปลอดภัยอย่างไร?

Telcoin ทำงานบนบล็อคเชนของ Ethereum แม้ว่าจะได้รับประโยชน์จากการรักษาความปลอดภัยในจากการทำงานแบบกระจายอำนาจของเครือข่าย แต่การ stake กลับไม่มีให้บริการบนเครือข่าย Telcoin

นอกจากนี้ยังไม่มีเครื่องมือตรวจสอบความถูกต้องบนเครือข่าย แต่มีการใช้แบบจำลอง proof-of-concep แทน พันธมิตรของ Telcoin ซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคมที่ลงทะเบียนเพื่อรวม TEL นั้นเทียบเท่ากับผู้ตรวจสอบความถูกต้องบนบล็อคเชน PoS โดยบริษัทโทรคมนาคมเหล่านี้จะได้รับรางวัลบนเครือข่าย

เพื่อให้เกิดความปลอดภัยที่ดีขึ้น Telcoin ได้นำการรักษาความปลอดภัยด้วยการเข้ารหัสแบบหลายลายเซ็นหรือแบบจำลอง multisig มาใช้ ซึ่งหมายความว่าในการทำธุรกรรมบนเครือข่าย Telcoin คุณจะต้องมีกุญแจส่วนตัวอย่างน้อยสองกุญแจ ผู้ใช้สามารถกำหนดจำนวนกุญแจที่ต้องการก่อนที่ธุรกรรมจะเสร็จสมบูรณ์

นอกจากวอลเลทTelcoin ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโครงการแล้ว ยังมีตัวเลือกในการรวมวอลเลทบนมือถือของระบบโทรคมนาคมอื่น ๆ ด้วย

### คุณสามารถซื้อ Telcoin (TEL) ได้จากที่ไหน?

แม้ว่า TEL จะเป็นสินทรัพย์คริปโตที่ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่มีตัวกลางการแลกเปลี่ยนเพียงไม่กี่แห่งที่อำนวยความสะดวกในการซื้อโทเค็น TEL กับสกุลเงิน fiat คุณสามารถซื้อโทเค็น TEL กับคริปโตเคอร์เรนซี เช่น [Bitcoin (BTC)](https://coinmarketcap.com/th/currencies/bitcoin/historical-data/) และ [Ethereum (ETH)](https://coinmarketcap.com/th/currencies/ethereum/)

ตัวกลางการแลกเปลี่ยนอันดับต้น ๆ สำหรับการซื้อ, ขาย และแลกเปลี่ยน Telcoin (TEL) ในปัจจุบันคือ:

[KuCoin](https://coinmarketcap.com/th/exchanges/kucoin/)

[Balancer](https://coinmarketcap.com/th/exchanges/balancer/)

[HitBTC](https://coinmarketcap.com/th/exchanges/hitbtc/)

[Bitbns](https://coinmarketcap.com/th/exchanges/bitbns/)

[1inch Exchange](https://coinmarketcap.com/th/exchanges/1inch-exchange/)

[Simex](https://coinmarketcap.com/th/exchanges/simex/)

นี่คือบทความอื่น ๆ ที่คุณอาจสนใจ:

* [คริปโตฟอเซ็ต (Crypto Faucet) คืออะไร?](https://coinmarketcap.com/alexandria/article/what-is-a-crypto-faucet)
* [บัตรเดบิตคริปโตคืออะไร?](https://coinmarketcap.com/alexandria/article/what-are-crypto-debit-cards)
* [Web 3.0 คืออะไร?](https://coinmarketcap.com/alexandria/article/what-is-web-3-0)
* [การฟาร์มผลตอบแทนคืออะไร?](https://coinmarketcap.com/alexandria/article/what-is-yield-farming)
* [การให้ยืมคริปโต (Crypto Lending) คืออะไร?](https://coinmarketcap.com/alexandria/article/what-is-crypto-lending)

Telcoin

Trust Wallet

MetaMask

Atomic wallet

Low-cost, high-quality financial products for every mobile phone user in the world. Learn more at http://telco.in

Ethereum

Shiba Inu

Chainlink

UNUS SED LEO

Uniswap

Reserve Rights

0x0.ai

Propy

Rocket Pool ETH

Rollbit Coin

Yield Guild Games

SushiSwap

Lido Staked ETH

Arcblock

Renzo Restaked ETH

Mars Battle

Fideum

Bit.Store

Dypius [Old]

Velar

Holo is a peer-to-peer distributed platform for hosting decentralized applications built using Holochain, a framework for developing DApps that does not require the use of blockchain technology. The goal of Holo is to serve as a bridge between the broader internet and apps built using Holochain, offering an ecosystem and marketplace in which DApps are easily accessible, as they are hosted on the internet by Holo network participants.

The Holo network will be facilitated using a token called HoloFuel, which is actively being tested and will act as an accounting system to pay hosts for their services. In 2018, the project minted an ERC-20 token, HOT — also known as HoloToken — as an "IOU" that will be redeemable for HoloFuel upon launch.

Holo is still in development and is expected to launch for open alpha and beta testing by 2021.

Holo

Revain is an online platform for Ethereum blockchain-based tokens reviews, designed to allow developers to receive constructive feedback about their projects. The protocol also incentivizes authors to provide high-quality reviews.

Revain was the first platform to combine the features of traditional review sites and blockchain technology. Revain’s ultimate goal is to create a legitimate and genuine feedback structure for all global products and services that utilize emerging technologies, such as machine learning and blockchain.

Revain implements artificial intelligence tools and a manual review system to ensure the high quality of reviews. The core features of the protocol include:

Legitimate reviews: Revain uses only original content from a diverse range of experts on its website.

Stable system: the protocol runs on two different tokens, the REV and the RVN, allowing for smooth functioning of the system. The RVN token helps facilitate interactions between users on the platform.

Immutable information: The system does not allow both regular users and Revain itself to edit the information of other users.

Revain

Launched in 2017, Dent is a revolutionary digital mobile operator offering eSIM cards, mobile data plans, call minutes top-ups and a roaming-free experience. According to the company website, Dent employs blockchain technology’s powers to create a global marketplace for mobile data liberalization.

Dent has an ambitious roadmap ahead, with plans to expand its services to new markets by the end of 2021. The company has already attracted more than twenty-five million mobile device users, and Dent services are available in more than 140 countries. Enterprise partnerships for Dent include Samsung Blockchain, The Enterprise Ethereum Alliance and Telecom Infra.

Dent

Harmony is a blockchain platform designed to facilitate the creation and use of decentralized applications (DApps). The network aims to innovate the way decentralized applications work by focusing on random state sharding, which allows creating blocks in seconds.

According to the project’s website, Harmony is expected to introduce cross-shard contracts and a cross-chain infrastructure by the end of 2021.

Harmony

Zilliqa is a public, permissionless blockchain that is designed to offer high throughput with the ability to complete thousands of transactions per second. It seeks to solve the issue of blockchain scalability and speed by employing sharding as a second-layer scaling solution. The platform is home to many decentralized applications, and as of October 2020, it also allows for staking and yield farming.

Development work officially started on Zilliqa in June 2017, and its testnet went live in March 2018. A little over a year later, in June 2019, the platform launched its mainnet.

The native utility token of Zilliqa, ZIL, is used to process transactions on the network and execute smart contracts.

Zilliqa

Siacoin (SC) is the native utility token of Sia, a blockchain-based distributed, decentralized cloud storage platform. Sia acts as a secure, trustless marketplace for cloud storage in which users can lease access to their unused storage space. Agreements and transactions are enforced with smart contracts, and Siacoin is the medium of exchange for paying for storage on the network. The main goal of the project is to become the "backbone storage layer of the internet."

Sia was originally announced in May 2014 before being revised and re-announced a year later in May 2015. It officially launched in June 2015.

Siacoin

Amp is an open-source, decentralized protocol that provides collateral as a service. Amp is described as the new digital collateral token offering instant, verifiable assurances for any kind of value transfer. Using Amp, networks like Flexa can quickly and irreversibly secure transactions for a wide variety of asset-related use cases.

The project, which launched in 2020, aims to provide a fast, efficient, and secure transaction platform. It claims to solve a number of network problems, including slow confirmation times, price volatility and broad adoption.

Amp claims to offer a straightforward but versatile interface for verifiable collateralization through a system of collateral partitions and collateral managers.

Collateral partitions can be designated to collateralize any account, application, or even transaction, and carry balances which are directly verifiable on the Ethereum blockchain.

Collateral managers are smart contracts that can lock, release and redirect collateral in these partitions as needed in order to support value transfer activities.

Amp supports a wide variety of use cases for collateralization, and also introduces the concept of predefined partition strategies, which can enable special capabilities such as collateral models through which tokens can be staked without ever leaving their original address.

Verasity is an open-ledger ecosystem designed to fight advertising fraud, provide open access to infrastructure for publishers and advertisers, and reward users for watching video content. Verasity also provides payment solutions and a rewarding staking ecosystem with 15% yields guaranteed through to April 2024.

Powered by a mix of artificial intelligence (AI), machine learning (ML), and cutting-edge blockchain technologies, Verasity is building the most powerful advertising ecosystem in the world through VeraViews; developing an open-access payments platform through VeraWallet, the VeraCard, and VeraPay; and enhancing the attention economy through its patented Rewarded Video module.

Verasity

DigiByte (DGB) is an open source blockchain and asset creation platform. Development began in October 2013 and the genesis block of its DGB token was mined in January 2014 as a fork of Bitcoin (BTC).

A longstanding public blockchain and cryptocurrency, DigiByte uses five different algorithms to improve security, and originally aimed to improve on the Bitcoin blockchain’s security, capacity and transaction speed.

DigiByte consists of three layers: a smart contract “App Store,” a public ledger and the core protocol featuring nodes communicating to relay transactions.

DigiByte

VeChainThor (VET) is a versatile enterprise-grade L1 smart contract platform whose origins began in 2015. VeChain is known as a pioneer of real-world enterprise applications, and built a distributed platform powered by Internet of Things (IoT) technologies, NFC chips and blockchain to help various industries solve data-related challenges.

VeChain solves major blockchain adoption hurdles. The platform uses an intelligent two token model, VET and VTHO, separating the protocol's Store of Value and gas fee payment mechanisms, ensuring costs can be kept low and stable. Fee delegation allows smart contracts to pay gas fees on behalf of business users, and an advanced transaction model allows data to be packaged more efficiently while ensuring finality of data.

VeChain is focused on delivering a wave of incentive-based sustainability dApps through its new platform, VeBetterDAO, working closely with Boston Consulting Group to achieve adoption across enterprise and individual users, and helping  onboard the next billion users to Web3 over the coming decade.

From supply chains to sustainability, VeChain has continuously demonstrated its leading role as a driver of blockchain in business, and is dedicated to its role as a pioneer of driving real world adoption of blockchain technology.

VeChain

Reserve Rights (RSR) is an ERC-20 token that will serve two main purposes for the Reserve Protocol: overcollateralization of Reserve stablecoins (RTokens) through staking and governing them through proposing & voting on changes to their configuration.

The Reserve Rights (RSR) token was launched in May 2019 following a successful initial exchange offering (IEO) on the Huobi Prime platform.

The XDC Network is a blockchain developed to support trade finance and the tokenization of RWAs. A highly optimized, EVM-compatible Layer 1 blockchain, XDC Network reaches consensus through a delegated proof-of-stake (dPoS) mechanism, which allows for a transaction time of mere seconds, near zero gas fees, and a high number of transactions per second (TPS).

Secure, scalable, and highly efficient, the XDC Network powers a wide range of novel blockchain use cases and provides state-of-the-art infrastructure for enterprise-grade blockchain applications. With architecture that enables the creation of sovereign sub-networks, XDC Network is uniquely equipped to support those who require dedicated blockchain environments for enhanced permissions and control, such as government agencies, financial institutions, and businesses.

As of April 25, 2024, there are 312 XDC Network validator masternode candidates, of which 108 actively operate as validator masternodes, and the remainder are standby masternodes. Each masternode operator is required to stake 10M XDC.

A forthcoming upgrade to the consensus mechanism, dubbed XDC 2.0, is currently running on testnet. It and subsequent iterations of the XDC Network protocol will further enhance the security of the consensus mechanism and incorporate a novel "judiciary branch" into the consensus mechanism.

Developed by Princeton University's Pramod Viswanath, Hash Laboratories' Fisher Yu, and their team, XDC 2.0’s cutting-edge compliance technology will ensure unprecedented Byzantine fault tolerance (BFT) by holding validators accountable for their actions on an automated yet discretionary basis.

XDC Network

Enjin Coin is a project of Enjin, a company that provides an ecosystem of interconnected, blockchain-based gaming products. Enjin's flagship offering is the Enjin Network, a social gaming platform through which users can create websites and clans, chat, and host virtual item stores.

Enjin allows game developers to tokenize in-game items on the Ethereum blockchain. It uses Enjin Coin, an ERC-20 token, to back the digital assets issued using its platform, meaning that items can be bought, sold and traded with real-world value.

Enjin Coin was first announced in July 2017, and it launched on the Ethereum mainnet in June 2018.

Enjin Coin (ENJ) is a digital store of value used to back the value of blockchain assets like non-fungible tokens (NFTs).
Every asset minted with the Enjin Platform contains ENJ, a minting resource which is locked inside NFTs and removed from circulation. Minting blockchain assets with ENJ provides a variety of benefits to creators and users:

Infuses them with a reserve value

Ensures their transparency and scarcity

Gives them instant liquidity

Provides utility in games and apps

Anti-inflationary

Enjin's "melting" functionality allows users to destroy their blockchain assets at any time to retrieve the ENJ value from within.

The Enjin blockchain ecosystem aims to offer software products that make it easy for everyone to develop, trade, monetize, and market with blockchain.

Founded in 2009, Enjin has roots in the gaming industry, with the company’s first product, a gaming community platform called the Enjin Network, growing to 20 million users over the course of a decade.

In 2017 following an ICO, Enjin established itself as a leading blockchain ecosystem developer, building a suite of software products that enable anyone to easily mint, manage, trade, distribute, and integrate blockchain assets.

Enjin’s co-founder Witek Radomski wrote the code for one of the first ever non-fungible tokens (NFTs) and is also the co-author of the ERC-1155 Ethereum token standard.

Built on top of an on-chain infrastructure, the Enjin ecosystem enables game developers and businesses of all sizes to use tokenized digital assets as part of their acquisition, retention, engagement, and monetization strategies. The Enjin ecosystem is fueled by Enjin Coin (ENJ), a cryptocurrency used to back the value of blockchain assets.

Enjin Coin

What Is Ankr (ANKR)?

Ankr is a decentralized blockchain infrastructure provider that operates an array of nodes globally distributed across over 50 Proof-of-Stake networks. This infrastructure helps drive the growth of the crypto economy while powering a full suite of multi-chain tools for Web3 users:

Ankr Build
Ankr provides comprehensive blockchain developer solutions, including traditional APIs, a decentralized multi-chain network of public RPC nodes used to access blockchain data and execute code, and tools like Ankr Scan to view on-chain information across blockchains.

Ankr Earn
Ankr Earn makes staking, liquid staking, and other yield-earning opportunities easy and accessible to any crypto investor. Ankr creates the most scalable and decentralized staking infrastructure solution that aims to solve the capital inefficiency of Proof-of-Stake networks and similar blockchain consensus mechanisms.

Ankr Learn
Through Ankr’s learning tools, tutorials, and docs, anyone can become a better user or developer of blockchain-based systems.

Ankr

Theta Fuel

Apps use ICON to operate cross-chain seamlessly, build momentum and gain reputation. ICON's Cross-Chain Framework simplifies cross-chain development with its easy-to-use xCall messaging standard and connections to secure bridging protocols.

ICON

Chiliz is the leading digital currency for sports and entertainment by the eponymous Malta-based FinTech provider. It operates the blockchain-based sports entertainment platform Socios, which enables users to participate in the governance of their favorite sports brands. Multiple fan tokens by Socios.com are an example of that. For sports clubs and associations, fan tokens offer a way of connecting with their fans and unlocking new revenue streams.

For instance, fans can participate and influence club-related decisions through surveys and polls, such as messages the captain should wear on his armband. The company aims to bridge the gap between being an active and a passive fan. Chiliz has developed partnerships with some of the biggest sporting institutions in the world: FC Barcelona, Manchester City, Juventus Turin, and Paris Saint-Germain. It also boasts partnerships with the UFC and gaming organizations. By purchasing CHZ, fans get access to various fan tokens and literally have a stake in their club.

Chiliz

Theta Network

Hedera is the most used, sustainable, enterprise-grade public network for the decentralized economy that allows individuals and businesses to create powerful decentralized applications (DApps).

It is designed to be a fairer, more efficient system that eliminates some of the limitations that older blockchain-based platforms face — such as slow performance and instability.

It was funded through an initial coin offering (ICO) in August 2018 and first launched open access to its mainnet just over a year later in September 2019. As part of the ICO, investors were able to purchase the platform’s native utility token (HBAR) at the lowest possible pricing.

The HBAR token has a dual role within the Hedera public network.

First and foremost, HBAR the fuel that powers Hedera services, such as smart contracts, file storage and regular transactions. Second, it's used to help secure the network, since HBAR users can stake their tokens to assist with maintaining the integrity of the platform.

Hedera (HBAR) is the native cryptocurrency of Hedera Hashgraph, a platform that is positioned as an alternative to traditional blockchain technology and aims to excel in speed, efficiency and security.

Older blockchains tend to use a consensus mechanism like proof-of-work (PoW) to validate transactions, while younger blockchains opted for proof-of-stake (PoS). The Hedera Hashgraph system has a structure that was created from scratch particularly for the project. Hedera is based on a PoS model that is believed to increase the efficiency of transaction verification in the network, provide a high level of security, and protect the network from hacker attacks. Its ecosystem has the underlying hashgraph consensus algorithm and the global enterprise governing body.

Hedera Hashgraph is a distributed ledger technology (DLT). According to the project website, Hedera differs from other blockchains because it uses a new consensus algorithm called hashgraph. It intends to process and execute transactions faster, eliminate delays, and smooth out the TPS (transactions per second) indicator. Hashgraph is claimed to be an upgrade in transaction speed, cost, and scalability.

Core network services by Hedera:

Consensus Service (HCS). With HCS, clients send messages to the network to negotiate consensus timestamping and order. In this case, the state is stored offline, and users can define privacy and access control.

Hedera Token Service (HTS). Thanks to HTS, token creation and management are available to customers. It supports built-in tokenization.

The goal of Hedera’s hashgraph is to increase the speed of transactions. Moreover, the network is also focused on high-volume operations: micropayments, data integrity and tokenization.

Like the EVM, the Hedera network maintains a virtual machine that writes smart contracts in the Solidity programming language. On top of that, Hedera offers a set of built-in KYC and AML checks.

From a technical point of view, Hedera is a form of distributed ledger technology. It is a hashgraph, or consensus algorithm, where users agree on the order in which transactions should be performed. However, Hedera is not exactly a blockchain. It has its own distinctiveness and works differently. With hashgraph, all transaction branches are merged, no block equivalent is thrown away, and each is used to reach consensus.

One of the most noticeable features of the network is the Gossip-about-Gossip protocol. According to Dr. Leemon Baird, Hedera's inventor, within the system nodes randomly transmit data about themselves to other nodes via hashgraph using the Gossip protocol. Soon, all nodes in a cluster become familiar with each other. Then a certain data structure is formed. It consists of a payload of transactions, a timestamp, a digital signature, and hashes to the previous structures.

HBAR is Hedera's native token that powers applications on the Hedera network. HBAR is utilized to pay for network services, transaction fees, in-app payments and micropayments. Developers can pay network fees with HBAR tokens, namely: work with smart contracts, file storage and currency exchange. HBAR is used to incentivize and pay network nodes.

Hedera Hashgraph has a decentralized governance system that is set apart. All critical decisions about pricing policy, software updates, and wealth management are made by the Governing Council.

Hedera

Reef is a Reliable Extensible Efficient Fast Layer-1 Blockchain for DeFi, NFT & Gaming. Built using Substrate Framework, it provides high scalability, enabling almost instant low-cost transactions, and supports Solidity and EVM, allowing developers to seamlessly migrate their DApps from Ethereum without any change in the codebase.

Reef Chain is the most advanced EVM-compatible blockchain. It's self-upgradable and has on-chain governance. Its infrastructure also allows for EVM extensions which allows for native token bridge, scheduled calls (ie. recurring payments), and smart contract in-place code upgrades. In the near future, it will support additional VMs which will allow developers to write code in multiple programming languages. The network runs on a Nominated Proof-of-Stake (NPoS) consensus mechanism, which offers scalability and low fees.

REEF is the native token that is used for:

Fees for processing transactions and storing data.

Running validator nodes by staking REEF tokens.

Nominating which validator nodes should be part of the network.

Reef is backed by multiple leading funds and venture capitalists including NGC, QCP, Bitcoin.com, Kenetic Capital, LD Capital, TRG Capital, Krypital Group, Genesis Block, Woodstock Fund and others.

Reef Chain development tools include:

Remix and EVM integrated development environments for uploading and deploying smart contracts.

Reefscan blockchain explorer to assist with deploying validators, bonding and nominating validators, debugging contracts, and understanding network performance.

Reef command line tools that allow developers deploy applications from local environments.

Reef wallet for accessing and interacting with the blockchain