What Is Steemit and How Does It Work?

## Steem (STEEM) คืออะไร

Steem เป็น[บล็อกเชน](https://coinmarketcap.com/alexandria/glossary/blockchain)ที่เน้นไปที่ชุมชนซึ่งสร้างโอกาสในการสร้างรายได้อย่างทันทีสำหรับผู้ใช้เครือข่าย โปรโตคอลได้รับการออกแบบมาเพื่อมอบโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับลูกค้าตามมูลค่าที่ลูกค้ามีต่อเครือข่าย มันได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้มีแพลตฟอร์มที่สามารถโพสต์เนื้อหาที่ผ่านการคัดสรรมาแล้วผ่านทางออนไลน์ และรับค่าตอบแทนเป็นคริปโตเคอร์เรนซี

โปรโตคอลนี้เป็นฐานข้อมูลบล็อกเชนที่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ ซึ่งสร้างแรงจูงใจให้ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับตนเองและรับผลตอบแทนไปในตัว มันใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีจากทั้งโซเชียลมีเดียและคริปโตเคอร์เรนซีเพื่อส่งมอบคุณค่าแก่ผู้ใช้ เครือข่ายรับประกันผลตอบแทนที่ผู้ร่วมให้ข้อมูลจะได้รับอย่างเป็นธรรมโดยใช้โครงสร้างรางวัลที่สะท้อนถึงการมีส่วนร่วมของผู้ใช้แต่ละคน

[Steemit](https://coinmarketcap.com/th/currencies/steem/social/) เป็นแอปตัวแรกที่สร้างขึ้นบนบล็อกเชนของ Steem และเปิดตัวเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2559 โปรโตคอลมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ชุมชนผู้ใช้ ด้วยวิธีต่อไปนี้:

* ให้ข่าวสารและข้อคิดเห็นที่ผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดี
* สร้างโอกาสในการหารายได้
* เป็นแหล่งข้อมูลที่ให้คำตอบสำหรับคำถามของผู้ใช้
* เสนอคริปโตเคอร์เรนซีที่มีความเสถียรซึ่งราคาจะถูกตรึงไว้กับสกุลเงิน USD

### ใครคือผู้ก่อตั้งของ Steem

Ned Scott ร่วมกับ Dan Larimer ผู้พัฒนาบล็อกเชนเปิดตัวแอปในครั้งแรกบนบล็อกเชนของ Steem ในเดือนมกราคม โดยมีชื่อว่า Steemit แอปพลิเคชันนี้จะคล้ายกับแอปโซเชียลเน็ตเวิร์กตัวอื่น ๆ ยกเว้นว่ามันมีการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ดังนั้นมันจึงเป็นแอปที่มีลักษณะ decentralized และ non-custodial ในตัว เครือข่ายไม่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไปดังที่แพลตฟอร์มโซเชียลแบบดั้งเดิมต้องเผชิญ

Ned Scott ทำงานเป็นนักวิเคราะห์การดำเนินธุรกิจและการเงินที่ Gellert Global Group ซึ่งเป็นบริษัทนำเข้าอาหารของอเมริกันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 ถึง 2558 เขาได้พบกับ Dan ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของเขาในปี พ.ศ. 2558 โดยทั้งคู่มีความสนใจที่คล้ายกัน

Dan Larimer เป็นวิศวกรซอฟต์แวร์และผู้ประกอบที่หลงใหลในเทคโนโลยีบล็อกเชน, DEX, สกุลเงินดิจิทัล และเทคโนโลยีอื่นๆ Dan ร่วมกับ Ned Scott ในการก่อตั้ง Steem และเป็น CTO ที่นั่นจนกระทั่งเขาลาออกจากบริษัทในปี พ.ศ. 2560

### อะไรที่ทำให้ Steem ไม่เหมือนใคร

บริษัทโซเชียลมีเดียแบบดั้งเดิมหลายแห่งทำเงินได้มหาศาลจากเนื้อหาที่ผู้ใช้ของพวกเขาผลิตขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ Steem แตกต่างคือเส้นซัพพอทที่นำเสนอแก่ผู้ใช้ของมันในรูปแบบรางวัล สำหรับการให้ข้อมูลที่มีคุณค่าต่อแพลตฟอร์ม

คุณลักษณะเฉพาะอีกอย่างหนึ่งของ[เครือข่าย](https://coinmarketcap.com/th/currencies/steem/social/)คือการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน — ซึ่งทำให้มันกลายเป็นเจ้าของแรกการให้บริการดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ มันจึงทำงานในรูปแบบ non-custodial และ decentralized โดยที่ไม่มีการหยุดทำงานหรือการใช้ข้อมูลในทางที่ผิด และข้อมูลของแพลตฟอร์มก็ได้รับการรักษาความปลอดภัยอย่างสมบูรณ์เช่นกัน นอกจากนี้ ผู้ใช้จะได้รับเงินสำหรับการเข้าร่วมบนแพลตฟอร์มในรูปแบบสกุลเงินคริปโตอีกด้วย

Steem ยึดหลักการสำคัญข้อหนึ่ง: ผู้ที่มีส่วนร่วมในกิจการควรได้รับค่าตอบแทนจากเจ้าของ เหมือนกับที่สตาร์ทอัพทำโดยอาศัยการจัดสรรหุ้นระหว่างรอบการระดมทุน ความเชื่อหลักอีกประการหนึ่งคือการให้บริการสมาชิกในชุมชนด้วยบริการและโอกาสทางการเงินที่หลากหลาย

### มีเหรียญ Steem (STEEM) หมุนเวียนอยู่กี่เหรียญ

ซึ่งแตกต่างจากบล็อกเชนอื่นๆ ที่เหรียญใหม่จะถูกสร้างขึ้นผ่านการขุด เนื่องจาก Steem มีการกระจายเหรียญ (STEEM) ในจำนวนมาก ไปยังพูลรางวัล STEEM ถือเป็นเหรียญหลักของโปรโตคอล พูลจะทำการแจกจ่ายโทเค็นให้กับผู้ใช้บนแพลตฟอร์มตามข้อมูลที่พวกเขาป้อนลงไป

พยาน (บัญชีที่ใช้ในการสร้างบล็อก) จะทำการเพิ่มบล็อกใหม่ไปยัง Steem blockchain ในทุกๆ สามวินาที ดังนั้นเครือข่ายจึงผลิต STEEM ในทุกวันและมีการแจกจ่ายเหรียญใหม่ในลักษณะดังต่อไปนี้:

* ผู้ดูแลและผู้แต่งเนื้อหาจะได้รับโทเค็นในจำนวน 75% ของเหรียญใหม่ที่สร้างขึ้น
* ผู้ใช้ที่มีการถือครอง Steem Power (คริปโตเคอร์เรนซีตัวอื่นๆ ของ Steem) จะได้รับเหรียญจำนวน 15% ของเหรียญทั้งหมด
* ส่วนที่เหลืออีก 10% จะถูกมอบให้กับพยาน

คริปโตเคอร์เรนซีอีกสองตัวที่นอกเหนือจาก STEEM คือ [Steem Dollars (SBD)](https://coinmarketcap.com/th/currencies/steem-dollars/) และ Steem Power (SP)

### เครือข่าย Steem มีความปลอดภัยอย่างไร

หลังจากที่บริษัทถูกซื้อโดย Justin Sun ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์ม Tron ทางบริษัทก็มีการปรับโครงสร้างการดำเนินงานของ Steem ตามมา ดังนั้นบล็อกใหม่จะไม่ถูกสร้างผ่านการขุดอีกต่อไป และเครือข่ายจะไม่ได้ใช้ proof-of-work.

โปรโตคอลไม่ได้อาศัย [proof-of-work](https://coinmarketcap.com/alexandria/article/proof-of-work-vs-proof-of-stake) เพื่อสร้างบล็อกใหม่ แต่กำหนดให้พยานสร้างบล็อกในทุกสามวินาทีแทน อย่างไรก็ตาม Steem blockchain ใช้ proof-of-stake เพื่อเพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์มและทำให้สามารถปรับขนาดได้มากขึ้น พยานจะได้รับรางวัล Steem Power สำหรับทุกบล็อกที่สร้างขึ้น

### คุณสามารถซื้อ Steem (STEEM) ได้จากที่ไหน

มีตัวกลางการแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซีหลายแห่งที่ผู้ใช้สามารถซื้อโทเค็น Steem, SteemPower หรือ Steem Dollars (SBD) หรือแม้แต่ใช้สกุลเงินท้องถิ่นร่วมกันได้ ผู้ใช้ที่ไม่มีบัญชีสามารถซื้อผ่านตัวกลางการแลกเปลี่ยนคริปโต เช่น [Binance](https://coinmarketcap.com/th/exchanges/binance/) ได้ด้วย นอกจากนี้ STEEM และ Steem Dollars ยังสามารถใช้เพื่อแลกเปลี่ยนเป็น bitcoin ได้อย่างง่ายดาย และสามารถใช้เพื่อแปลงเป็นสกุลเงิน fiat ได้ด้วย [คลิกที่นี่](https://coinmarketcap.com/alexandria/categories/blog) เพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคริปโตในบล็อกของ CMC

Steem

Hive (HIVE) is a blockchain running on a delegated proof-of-stake (DPoS) consensus mechanism. It launched in March 2020 as a hard fork of the centralized Steem blockchain and as a gateway from Web 2.0 to Web 3.0. The blockchain claims to offer “lightning-fast processing times and fee-less transactions.” Examples of use cases include social media with monetized rewards for content creators, interactive blockchain games, identity management, micro-loans and more. The platform powers decentralized applications (dApps) like Splinterlands, PeakD and HiveBlog.

Hive is a social network of apps and services, where users discover the capacity of blockchain technology, connect to the platform and securely share content through equitable redistribution of value. Thus, the users are the proprietors of the network, and sponsors can contact communities and artists directly without intermediaries.

Hive is an open source blockchain that focuses on scaling through layer-2 sidechains, while still benefiting from a common layer-1 blockchain backbone to ensure distributed data integrity. The Hive ecosystem runs on two cryptocurrencies — the native governance token, HIVE and the USD-pegged HBD stablecoin.

Hive

Ardor

Lisk is striving to on-board 100,000,000 users into crypto and web3 by offering an accessible blockchain application platform and an industry leading JavaScript SDK.

Released in 2019, the Lisk SDK enables developers to build application-specific blockchains entirely in JavaScript, the most widely used programming language in the world. To get a deep-dive into the Lisk SDK, please visit the Lisk SDK documentation or watch Lisk.js 2019 and Lisk.js 2022.

To be released in 2022, the Lisk blockchain application platform allows interoperability between all application-specific blockchains built with the Lisk SDK. With other words, users will be able to use DeFi, NFT or Metaverse blockchain applications on Lisk.

To better understand why Lisk is important watch the following videos: The Case for Lisk and The Ultimate Vision for Lisk.

If you are curious about Lisk’s history and journey, watch Looking Back on Lisk.

The Lisk project is managed by the Lisk Foundation, a non-profit entity based in Zug, Switzerland. A local team of experts specialized in law and finance, as well as yearly audits, ensure the proper handling of funds and regulatory compliance under the supervision of the Swiss Federal Foundation Supervisory Authority (ESA, Eidgenössische Stiftungsaufsicht).

The Lisk products are developed by the Lightcurve GmbH, a Berlin based blockchain studio. With a team of over 40 blockchain experts, Lightcurve is researching, developing and promoting the Lisk SDK and the Lisk blockchain application platform.

Lisk

ARK is a cryptocurrency- and blockchain- based development platform allowing anyone to create their own fully customizable and interoperable blockchain. Reducing the industries need for Smart Contracts by using custom transactions, logic and multiple programming languages. ARK was founded in mid 2016, running a Toekn Exchange Campain(TEC) later that year which raised $800K in bitcoin and other exchanged cryptos. Sound financial planning has allowed the team to become a well-funded entity since its inception. On March 21, 2017, the ARK Public Network went live, hosting the native ARK crypto asset. The ARK business entity formed shortly after, called ARK ECOSYSTEM SCIC. The business entity is commonly referred to as 'ARK.io' which is part of the teams branding as well as the teams website.

The ARK Ecosystem consists of an open-source blockchain technology stack authored in TypeScript programming language. ARK’s public network acts as a live implementation of ARK technology, node operators acting as delegates on the network, standalone blockchains running on ARK technology with independent node operators, business entities that develop products powered by ARK as well as assist in maintaining the code base, an enterprise division driving adoption as well as a community of users, developers and service providers.

The ARK Public Network supports special transaction types such as multi-payment, multisignature, many various registration transactions, and IPFS hash transactions. ARK’s Launcher product, allows fully customizable interoperable blockchain creation using a graphical user interface. This plug and play creation method allows developers to fully utilize ARK’s consensus model, technology stack, product line and custom transactions.

Status is categorized as a mobile and desktop operating system and decentralized browser that incorporates a messaging system. As such, Status allows you to interact with a network at any time, from anywhere. It was originally released in June in 2017.

It is a light client Ethereum node, and has the ability to give you access to all Ethereum decentralized applications (otherwise known as DApps) from an app that is installed on your mobile phone or tablet. This means that users can send encrypted messages as well as access decentralized applications, including a cryptocurrency wallet.

Status

Ontology Gas

Ontology is a project designed to bring trust, privacy, and security to Web3 through decentralized identity and data solutions. It is building the infrastructure to provide trusted access to Web3, allowing individuals and enterprises to rest assured that through regulatory compliant digital identity solutions, users and their privacy come first.

The Ontology blockchain is a high speed, low cost public blockchain. It is designed to bring decentralized identity and data solutions to Web3, with the goal of increasing privacy, transparency, and trust. To achieve this, users and enterprises are provided with the flexibility to build blockchain-based solutions that suit their needs, while also ensuring regulatory compliance. Through Ontology’s Ethereum Virtual Machine (EVM), Ontology ensures frictionless compatibility with Ethereum, the first step in the creation of the Ontology Multi-Virtual Machine and further interoperability for the chain.

At its launch, Ontology chose to forego the popular initial coin offering (ICO) model in favor of a series of community distributions and airdrops of its ONT cryptocurrency.

This helped to quickly establish both organic price discovery and a passionate community and helped the project to avoid subsequent regulatory scrutiny.

For example, for a brief period any person who signed up for the Ontology newsletter received an airdrop of free 1,000 ONT, which reached a value of $10 per token soon after the token became listed on major exchanges like Binance.

Ontology launched its own MainNet on June 30, 2018 and has been up and running smoothly since.

Ontology

Komodo

aelf

Civic is a blockchain-based identity management solution that gives individuals and businesses the tools they need to control and protect personal identity information.

The platform is designed to change the way we think about identity verification by giving users more control over their personal data, while allowing them to access a wide range of services without needing to fork over excessive amounts of personal information.

Civic's identity verification solution uses distributed ledger technology to authorize identity usage in real time, and is used to sparingly share information with Civic partners after authorization by the user.

Unlike some other identity management services, Civic users store all their sensitive data on their mobile device. Users are able to authorize the sharing of specific personal data by providing a biometric signature through the Civic app.

The Civic ecosystem is enabled by a unique utility token known as the Civic token (CVC), which is used for the settlement of identity-related transactions between Civic participants — such as between a customer and service provider.

Users can earn CVC tokens for completing a variety of tasks, such as signing up for a service through the platform or introducing new users, while validators can earn CVCs for validating documents for service providers.

Civic was launched in 2018, following a sell-out initial coin offering (ICO) the year prior.

Civic

Metal DAO

Apps use ICON to operate cross-chain seamlessly, build momentum and gain reputation. ICON's Cross-Chain Framework simplifies cross-chain development with its easy-to-use xCall messaging standard and connections to secure bridging protocols.

ICON

Orchid (OXT) is the native token of Orchid, a cryptocurrency-powered virtual private network (VPN).

Launched in December 2019, Orchid describes itself as the world’s first incentivized, peer-to-peer privacy network.

Its aim is to overcome internet freedom limitations by using cryptocurrency payments to allow anyone to purchase bandwidth from any participating provider. This is done using so-called probabilistic nanopayments, which occur using OXT, an ERC-20 standard token on Ethereum.

Regular payments to providers occur off-chain, allowing Orchid to avoid problems with congestion and gas fees on the Ethereum network.

The service is pay-per-use, meaning that users only have to contribute funds when they actually connect, instead of paying monthly or annual fees.

Orchid

Bancor is an ecosystem of decentralized, open-source protocols that promote on-chain trading and liquidity.

Its main protocol, Carbon, is a decentralized trading protocol allowing users to perform automated trading strategies using custom on-chain limit orders and range orders, with the option of combining orders together to create automated buy low, sell high strategies.

By design, Carbon orders are irreversible on execution, easily adjustable directly on-chain, and resistant to MEV sandwich attacks. These capabilities give users an unprecedented level of control and automation to perform novel trading strategies on-chain.

Fast Lane, a separate open-source arbitrage protocol, allows any user to perform arbitrage between Bancor ecosystem protocols and external on-chain exchanges and redirect arbitrage profits back to the Bancor ecosystem.

All Bancor ecosystem protocols are governed by the BancorDAO via staked BNT.

Bancor

Loom Network is a platform as a service that is built on top of Ethereum and allows developers to run large-scale decentralized applications. This platform was released on October 1st, 2017.

The goal of this is to allow application developers to have smart contracts that can access much more computing power when it is required, or maintain the same power at lower costs for tasks such as trials for onboarding new users or applications that simply do not need the full security of blockchain to begin with.

In this system you have the ability to interact with APIs developed by third parties which are not on chain. Loom attempts to be the ultimate platform that allows smart contract developers to create applications without the need to switch to another programming language.

As such, they can easily integrate their applications with the outside world.

The Loom Network runs on Plasma, which is a scaling solution that allows for faster transactions throughout the network.

Loom Network

Aragon

NEM is a blockchain platform that was launched in March of 2015. It was one of the pioneers of the cryptocurrency industry, and sought to improve on the imperfections found on other chains at the time. It was one of the first non-turing complete chains to feature user-defined tokens (called mosaics), namespaces, multisignature accounts, and a P2P reputation system based on EigenTrust++. Its most notable contribution to the space is the proof-of-importance consensus mechanism, which sought to reward on-chain activity and deter the concentration of wealth commonly associated with proof-of-stake. Its client, NIS, is written in Java.

NEM has a global community. It sees the most utility as an alternative form of payment for businesses and vendors, and has a variety of social media apps built on top of it in Japan, such as nemgraph, a community-driven owned and operated alternative to Instagram.

In December 2021, NEM was hard forked by a pseudonymous team of cryptocurrency experts and enthusiasts alike. Titled Harlock, this hard fork signaled the community’s intent to take NEM from a shadow of its former self into the world’s leading payments platform for on-chain and off-chain media content.

BitShares Blockchain is a decentralized “Blockchain as Organization” (BaO); an industrial-grade decentralized open source platform built to run high-performance financial technology operations. It represents the first decentralized autonomous decentralized community that enables its core utility token (BTS) holders to decide the Blockchain future direction in order to develop and maintain a wide range of decentralized financial technology products, features and functions. BitShares Blockchain is a Blockchain that permanently records financial technology operations between different Blockchain accounts and facilitates a wide range of access controls across BitShares Blockchain user financial means.

BitShares Blockchain is a technology that supports the digital generation entrepreneurs, investors, and developers with a common interest in building and participating in free market solutions by leveraging the power of globally decentralized consensus and decision making. Consensus technology has the power to do for economics what the internet did for information. It can harness the combined power of all humanity to coordinate the discovery and aggregation of real-time knowledge, previously unobtainable. This knowledge can be used to more effectively coordinate the allocation of resources toward their most productive and valuable use.

BitShares looks to extend the innovation of the Blockchain to all industries that rely upon the internet to provide their services. Whether its banking, stock exchanges, lotteries, voting, music, auctions or many others, a digital public ledger allows for the creation of distributed autonomous companies (or BaO) that provide better quality services at a fraction of the cost incurred by their more traditional, centralized counterparts. The advent of (BaO) ushers in a new paradigm in organizational structure in which companies can run without any human management and under the control of an incorruptible set of business rules. These rules are encoded in publicly auditable open source software distributed across the computers of the companies’ shareholders, who effortlessly secure the company from arbitrary control. BitShares does for business what bitcoin did for money by utilizing distributed consensus technology to create companies that are inherently global, transparent, trustworthy, efficient and most importantly profitable.

BitShares has went through many changes and has done its best to stay on top of Blockchain technology. BitShares is using Consensus as the mechanism by which organized people decide upon unitary rational action. While not considered technology in the traditional since, consensus “technology” is the basis of democratic governance and the coordination of free market activity first coined by Adam Smith as the “Invisible Hand.” The process of consensus decision-making allows for all participants to consent upon a resolution of action even if not the favored course of action for each individual participant. Bitcoin was the first system to integrate a fully decentralized consensus method with the modern technology of the internet and peer-to-peer networks in order to more efficiently facilitate the transfer of value through electronic communication. The proof-of-work structure that secures and maintains the Bitcoin network is one manner of organizing individuals who do not necessarily trust one another to act in the best interest of all participants of the network. The BitShares ecosystem employs Delegated Proof of Stake in order to find efficient solutions to distributed consensus decision making.

BitShares

REQ is listed on Coinbase, Binance, crypto.com, KuCoin and many other exchanges.

The REQ token powers the Request Network open-source protocol via a few mechanisms: anti-spam; governance; staking; discounts; independency.

The Request (REQ) utility token, launched in 2017, ensures the performance and stability of the Request Network. The Request Network itself is an Ethereum-based decentralized payment system where anyone can request a payment and receive money through secure means. It removes the requirement for third parties in order to provide a cheaper, more secure payment solution that works with all global currencies.

The original whitepaper is available here.

When a user creates a request for payment, they define to which address the payment needs to be allocated and what the amount is. The user can also define the terms and conditions of the payment, upgrading a simple request into an invoice. Once this is completed, the user can share their request to be paid by their counterparty.

Every step is documented and stored on the Request Network, allowing everyone involved to easily keep track of all the invoices and payments for accounting purposes.

Request is also integrated with legislation across the world to remain compliant with the trade laws of each individual country.