## Secret (SCRT) คืออะไร

[Secret (SCRT)](https://coinmarketcap.com/th/currencies/secret/) เป็นบล็อกเชนที่เน้นความเป็นส่วนตัวซึ่งสร้างขึ้นบน [Cosmos](https://coinmarketcap.com/th/currencies/cosmos/) [สัญญาอัจฉริยะ](https://coinmarketcap.com/alexandria/glossary/smart-contract) ของมันเรียกว่าสัญญาลับและอนุญาตให้ [DApps](https://coinmarketcap.com/alexandria/glossary/decentralized-applications-dapps) ใช้ข้อมูลส่วนตัวในแบบความลับ ซึ่งคล้ายกับการทำงานของสัญญาอัจฉริยะบนบล็อกเชนอื่นๆ การโอนอินพุตที่มีการเข้ารหัสไว้ไปยังเอาต์พุตที่เข้ารหัสไว้ของสัญญาลับจะดำเนินการโดยไม่เปิดเผยข้อมูล ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นได้ด้วยสถานะสัญญาที่มีการเข้ารหัสไว้ระหว่างการดำเนินการ

รับประกันความเป็นส่วนตัวของข้อมูลโดยการรวมโปรโตคอลการเข้ารหัสและการจัดการคีย์ภายใน Trusted Execution Environment (TEE) สิ่งนี้ทำให้สัญญาลับสามารถแข่งขันกับการใช้งานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวหลายกรณี ซึ่งบล็อกเชนแบบดั้งเดิมไม่ค่อยจะรองรับ ตัวอย่างเช่น กลไกการลงคะแนนส่วนตัวหรือแอปพลิเคชันการให้คะแนนเครดิตก็สามารถเป็นไปได้เนื่องจากไม่มีการเปิดเผยข้อมูลผู้ใช้ที่ละเอียดอ่อนบนโลกออนไลน์

### ใครบ้างที่มีส่วนร่วมกับ Secret

Secret ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรระดับโลกมากมาย ทีมพัฒนาหลักคือ SCRT Labs ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในประเทศอิสราเอล พวกเขามีภารกิจในการสร้างผลิตภัณฑ์และระบบที่เร่งการนำเทคโนโลยีแบบกระจายศูนย์มาใช้โดยคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวเป็นอันดับแรก CEO และผู้ก่อตั้ง SCRT Labs คือ Guy Zyskind อดีตนักวิจัยของ MIT ซึ่งเป็นหนึ่งในนักเขียนที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดเกี่ยวกับผลงานด้านความเป็นส่วนตัวของบล็อกเชน

อีกหนึ่งองค์กรหลักคือ Secret Foundation *พันธกิจของมูลนิธิคือ "ส่งเสริมความเป็นส่วนตัวในฐานะสิทธิมนุษยชนและผลประโยชน์สาธารณะ เสริมศักยภาพให้กับปัจเจกชนผ่านการพัฒนาและการใช้เทคโนโลยีแบบกระจายศูนย์ เพื่อปกป้องเสรีภาพและสร้างระบบที่มีค่ามากขึ้นโดยการขจัดการผูกขาดข้อมูล และสร้างเครือข่าย รากฐาน และความยั่งยืน ชุมชนที่จะทำงานเพื่อปลูกฝังค่านิยมหลักเหล่านี้ทั่วโลก"* Secret Foundation ก่อตั้งขึ้นในปี 2560 โดย Tor Bair ผู้ประกอบการในสหรัฐฯ และเขายังศิษย์เก่า MIT ที่ทำงานในการให้คำปรึกษาแก่บริษัท Fintech หลายแห่ง

สำหรับข้อมูลองค์กรที่มีส่วนร่วมอื่นๆ สามารถดูได้ที่ [หน้า Secret Ecosystem](https://scrt.network/ecosystem/contributors) บน [เว็บไซต์ Secret Network](https://scrt.network/)

### อะไรที่ทำให้ Secret ไม่เหมือนใคร

Secret Network โดดเด่นด้วยการให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวและการเข้ารหัสของข้อมูลตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ซึ่งเป็นสิ่งที่บล็อกเชนอย่าง [Ethereum](https://coinmarketcap.com/th/currencies/ethereum/) ไม่มีให้ นักพัฒนาสามารถสร้างโซลูชันที่ปกป้องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลโดยไม่กระทบต่อความสามารถในการใช้งาน ซึ่งมีส่วนสนับสนุนเป้าหมายของเครือข่ายในการนำแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์มาใช้โดยคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวเป็นอันดับแรก

ตรงกันข้ามกับบล็อกเชนสาธารณะอื่นๆ ตัว [โหนด](https://coinmarketcap.com/alexandria/glossary/node)ดำเนินการบน Secret จะใช้ฮาร์ดแวร์พิเศษสำหรับการรันโค้ดในวงล้อมที่ปลอดภัยที่เรียกว่า Trusted Execution Environments (TEE) ใน TEE เหล่านี้ แม้แต่ผู้ดูแลระบบอุปกรณ์ก็ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่กำลังถอดรหัสได้ ในส่วนของผู้ใช้ บล็อกเชนจะมีการทำงานดังนี้:

* ผู้ใช้ส่งอินพุตที่เข้ารหัสไปยังเครือข่าย
* ตัวตรวจสอบความถูกต้อง (โหนดลับ) ทำการคำนวณผ่านข้อมูลที่มีการเข้ารหัส
* ผู้ตรวจสอบข้อเสนอส่งเอาต์พุตที่มีการเข้ารหัส
* ผู้ตรวจสอบได้รับฉันทามติสำหรับผลลัพธ์
* เอาต์พุตและสถานะสัญญาที่มีการเข้ารหัสจะถูกบันทึกไว้ในเครือข่ายลับ

การทำงานของสัญญาอัจฉริยะขึ้นอยู่กับ CosmWasm ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสัญญาอัจฉริยะของระบบนิเวศ Cosmos

สำหรับกรณีการใช้งานที่เป็นไปได้ของ Secret นั้นมีมากมาย ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มการจัดการเนื้อหาดิจิทัลสามารถใช้ Secret เพื่อจัดเก็บคีย์เพื่อการถอดรหัสในเนื้อหาได้ หลังจากที่ผู้ใช้ชำระเงิน สัญญาลับจะแชร์คีย์ถอดรหัส และผู้ใช้จะได้รับคีย์การเข้าถึงเฉพาะของตน ในด้วยบล็อกเชนแบบดั้งเดิมไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้เนื่องจากต้องมีการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ

ตัวอย่างอื่นๆ ได้แก่ การประมูลลับและการลงคะแนนลับ ซึ่งอาจใช้ประโยชน์จากการประมูลและการลงคะแนนที่เข้ารหัสซึ่งพวกเขาสามารถส่งไปยังสัญญาลับได้ ในสถานการณ์สมมตินี้ เอาต์พุตที่มีการเข้ารหัสของการประมวลผลสัญญาสามารถระบุผู้ชนะได้โดยไม่ต้องเปิดเผยคะแนนแต่อย่างใด

ประการสุดท้าย Secret สามารถรักษาความเป็นส่วนตัวในด้านการเงินแบบกระจายศูนย์ได้ด้วยระบบเศรษฐกิจแบบ permissionless ซึ่งมอบโอกาสทางเศรษฐกิจสำหรับการสร้างความมั่งคั่งที่ไม่เคยเป็นไปได้มาก่อน

#### หน้าที่เกี่ยวข้อง:

ลองดู [Terra (LUNA)](https://coinmarketcap.com/th/currencies/terra-luna/) — บล็อคเชนเลเยอร์ 1 ที่ใช้งานโทเค็น LUNA

ลองดู [Polkadot (DOT)](https://coinmarketcap.com/th/currencies/polkadot-new/) — บล็อคเชนที่ทำหน้าที่เป็นพื้นฐานสำหรับบล็อคเชนอื่น ๆ

อ่านราย [ละเอียดเชิงลึกของเราเกี่ยวกับโซลูชันเลเยอร์ 2](https://coinmarketcap.com/alexandria/article/how-to-use-layer-2-rollups-to-avoid-gas-fees)

รับข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับคริปโตและข้อมูลเชิงลึกด้านการซื้อขายล่าสุดด้วย [CoinMarketCap blog](https://coinmarketcap.com/alexandria/categories/blog)

### มีเหรียญ Secret (SCRT) จำนวนเท่าใดในการหมุนเวียน

เหรียญ SCRT สามารถใช้เพื่อ[เดิมพัน](https://coinmarketcap.com/alexandria/glossary/staking) การลงคะแนนเสียง และชำระค่าธรรมเนียมธุรกรรมเครือข่ายได้ นอกจากนี้มันยังจำเป็นต้องในการดำเนินการของโหนดในเครือข่าย โดยตัวตรวจสอบความถูกต้องจะได้รับรางวัลและส่วนแบ่งของค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมจากตัวกลางการแลกเปลี่ยนโทเค็น ต้องขอบคุณระบบ [elegated proof-of-stake](https://coinmarketcap.com/alexandria/glossary/delegated-proof-of-stake-dpos) ของ Secret ที่ทำให้ผู้ถือโทเค็นที่ไม่ได้ใช้งานโหนดสามารถมอบหมาย SCRT ให้กับผู้ตรวจสอบความถูกต้องเพื่อรับส่วนแบ่งของรางวัลเครือข่ายได้ และ SCRT ยังทำหน้าที่เป็น[โทเค็นการกำกับดูแล](https://coinmarketcap.com/alexandria/glossary/governance-token)อีกด้วย

[อุปทานรวม](https://coinmarketcap.com/alexandria/glossary/total-supply)เริ่มต้นของ SCRT อยู่ที่ 170 ล้าน โดยมีการกระจายตัวดังนี้:

* ชุมชน: 75 ล้าน
* ทีม: 36 ล้าน - โดยอยู่ในกรอบระหว่าง 2-4 ปี
* คลัง: 30 ล้าน
* มูลนิธิ: 1 ล้าน
* ภาวะเงินเฟ้อ 8 ล้าน

Secret ตั้งเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อไว้ที่ 15% โดยคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อไว้ที่ 20% หากมีสัดส่วนน้อยกว่า 67% ของอุปทาน และค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็น 7% เมื่อมันโทเค็นในจำนวนที่มากกว่า 67% ถูกนำไปเดิมพัน

### Secret Network มีความปลอดภัยอย่างไร

Secret ใช้[กลไกฉันทามติ](https://coinmarketcap.com/alexandria/glossary/consensus-mechanism)แบบ proof-of-stake ที่เรียกว่า Tendermint ตัวตรวจสอบความถูกต้องจะเดิมพัน SCRT และรับ SCRT จาก Delegator เพื่อแลกกับการตรวจสอบธุรกรรม พวกเขาจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าโปรโตคอลทำงานอยู่ และต้องทำงานเพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับบล็อกเชน การเดิมพันของโหนดที่ไม่ซื้อสัตย์จะถูกตัดสิทธิ์ไป

### คุณสามารถซื้อ Secret (SCRT) ได้จากที่ไหน

SCRT มีให้บริการบน [Binance](https://coinmarketcap.com/th/exchanges/binance/), [Mandala Exchange](https://coinmarketcap.com/th/exchanges/mandala/), [Huobi Global](https://coinmarketcap.com/th/exchanges/huobi-global/), [Gate.io](https://coinmarketcap.com/th/exchanges/gate-io/)และ [MEXC](https://coinmarketcap.com/th/exchanges/mxc/)

หากคุณต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการเริ่มต้นซื้อคริปโตเคอร์เรนซีคุณสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ใน [คู่มือของเรา](https://coinmarketcap.com/how-to-buy-bitcoin/)

A Deep Dive Into the Cosmos Network and the Cosmos Ecosystem

Secret

The first mainnet blockchain with data privacy by default for every app - 100x'ing the possibilities for DeFi and much more!

Harmony is a blockchain platform designed to facilitate the creation and use of decentralized applications (DApps). The network aims to innovate the way decentralized applications work by focusing on random state sharding, which allows creating blocks in seconds.

According to the project’s website, Harmony is expected to introduce cross-shard contracts and a cross-chain infrastructure by the end of 2021.

Harmony

Audius is a decentralized music streaming protocol initially built on POA network, but now living on Solana. Audius was launched to remedy the inefficiencies of the music industry, which is plagued by intransparent music rights ownership and intermediaries standing between artists and their audience.

Audius aims to align the interests of artists, fans, and node operators through its platform powered by its native AUDIO token. Artists can upload music, stored and distributed by content and discovery nodes, that fans can listen to for free. Currently, Audius rewards content creators through rewards like featuring in the weekly trending lists. In the future, it plans to integrate stablecoins for artists to offer paid content, as well as artist tokens that give fans the ability to access exclusive content, potentially cooperating with platforms like Rally.

Audius

Arweave is a decentralized storage network that seeks to offer a platform for the indefinite storage of data. Describing itself as "a collectively owned hard drive that never forgets," the network primarily hosts "the permaweb" — a permanent, decentralized web with a number of community-driven applications and platforms.

To learn more about this project, check out our deep dive of Arweave.

The Arweave network uses a native cryptocurrency, AR, to pay "miners" to indefinitely store the network's information.

The project was first announced as Archain in August 2017, later rebranding to Arweave in February 2018 and officially launching in June 2018.

Arweave

Self-described as "Polkadot's wild cousin," Kusama is an experimental blockchain platform that is designed to provide a massively interoperable and scalable framework for developers.

Kusama is built on Substrate — a blockchain building kit developed by Parity Technologies. Kusama has almost the same codebase as Polkadot — one of the most successful interoperable blockchains.

By deploying on Kusama, fast-paced projects gain access to a highly scalable, interoperable sharded network, with features that are not yet available on Polkadot. To that end, Kusama describes itself as a “canary network.”

The platform is designed to provide a testbed for developers looking to innovate and deploy their own blockchain and can be used as a preparatory network before launching on Polkadot — though many projects opt to stick with Kusama for their final product.

Kusama benefits from a low barrier to entry for deploying parachains, low bond requirements for validators, and is most commonly used by early-stage startups and for experimentation.

Kusama

Kadena is a proof-of-work blockchain that combines the PoW consensus mechanism from Bitcoin with directed acyclic graph (DAG) principles to offer a scalable version of Bitcoin. Kadena claims it can provide the security of Bitcoin while being able to offer unparalleled throughput that makes the blockchain usable to enterprises and entrepreneurs alike. Kadena's unique infrastructure is decentralized and built for mass adoption because of its multi-chain approach.

Kadena promises industrial scalability that can support global financial systems and can be scaled as necessary. It also vows to remain energy-efficient at scale and deliver more transactions with the same energy input, another difference to Bitcoin. Moreover, Kadena offers crypto gas stations, which allow businesses to pay for their customers' gas fees and remove a massive pain point in adopting blockchains for business.

Kadena has already scaled its network from 10 to 20 blockchains and can do so again in the future, if necessary. This final addition to Kadena was its private Kuro layer-two blockchain, which supports up to 8,000 transactions per second across 500 nodes.

Kadena

Oasis is the pioneering layer 1 blockchain designed to enable scalability and confidential compute. Oasis is home to Sapphire, the first confidential EVM that empowers Web3 and Decentralized AI developers to build dApps with Smart Privacy natively on Oasis or other EVM-based chains.

ROSE is the native token of the Oasis Network used for gas fees, staking, delegation and governance. With a unique layered architecture, Oasis presents the optimal building and execution environment for DeFi, AI, GameFi, NFTs, the metaverse, data tokenization and DAO governance. Oasis also has native support for rollups at the consensus layer.

Oasis

THORChain is a decentralized liquidity protocol that allows users to easily exchange cryptocurrency assets across a range of networks including Bitcoin and Ethereum without losing full custody of their assets in the process.

With THORChain, users can simply swap one asset for another in a permissionless setting, without needing to rely on order books to source liquidity. Instead, market prices are maintained through the ratio of assets in a pool (see automated market maker.

The native utility token of the THORChain platform is RUNE. This is used as the base currency in the THORChain ecosystem and is also used for platform governance and security as part of THORChain's Sybil resistance mechanisms — since THORChain nodes must commit a minimum of 300k RUNE to participate in its rotating consensus process.

THORChain was funded through an initial DEX offering (IDO) which launched through the Binance DEX in July 2019. Its single-chain chaosnet launched in April 2021, the multi-chain upgrade was launched in April 2021 and Mainnet is now live as of Jun 2022..
Learn more here

THORChain

In a nutshell, Cosmos bills itself as a project that solves some of the “hardest problems” facing the blockchain industry. It aims to offer an antidote to “slow, expensive, unscalable and environmentally harmful” proof-of-work protocols, like those used by Bitcoin, by offering an ecosystem of connected blockchains.

The project’s other goals include making blockchain technology less complex and difficult for developers thanks to a modular framework that demystifies decentralized apps. Last but not least, an Interblockchain Communication protocol makes it easier for blockchain networks to communicate with each other — preventing fragmentation in the industry.

Cosmos’ origins can be dated back to 2014, when Tendermint, a core contributor to the network, was founded. In 2016, a white paper for Cosmos was published — and a token sale was held the following year. ATOM tokens are earned through a hybrid proof-of-stake algorithm, and they help to keep the Cosmos Hub, the project’s flagship blockchain, secure. This cryptocurrency also has a role in the network’s governance.

Cosmos

Moonbeam is an Ethereum-compatible smart contract parachain on Polkadot. Moonbeam makes it easy to use popular Ethereum developer tools to build or redeploy Solidity projects in a Substrate-based environment.

Moonbeam is much more than just an EVM implementation: it’s a highly specialized parachain that mirrors Ethereum’s Web3 RPC, accounts, keys, subscriptions, logs, and more. The Moonbeam platform extends the base Ethereum feature set with additional features such as on-chain governance, staking, and cross-chain integrations.

Moonbeam’s Ethereum compatibility is unmatched:

Minimal Changes: developers can use existing Solidity smart contracts right away, with no need to rewrite or reconfigure

Use Existing Developer Tools: connect popular tools like MetaMask, Hardhat, Waffle, Remix, and Truffle via a complete set of Web3 RPC endpoints. Use well-known Javascript libraries such as Web3.Js or Ethers.Js.

Unified Accounts, Addresses, and Signatures: use your existing Ethereum H160 accounts & ECDSA signatures to interact with Moonbeam

Tap into the Most Integrations on Polkadot: use existing oracles, bridges, wallets, and other tools that are already building on Moonbeam

Moonbeam provides integration and connectivity between Polkadot Parachains as well as with other chains such as Ethereum and Bitcoin via bridges. Moonbeam was started in 2019 by Derek Yoo of Pure Stake.

Moonbeam

Osmosis (OSMO) is a decentralized exchange (DEX) for Cosmos, an ecosystem of sovereign, interoperable blockchains all connected trustlessly over IBC, the Inter-Blockchain Communication Protocol. Osmosis also offers non-IBC assets bridged from the Ethereum and Polkadot ecosystems. Originally based on Balancer-style pools, Osmosis is moving to a more sustainable concentrated liquidity model that provides a superior trading and liquidity provision experience.

As an appchain DEX, Osmosis has greater control over the full blockchain stack than DEXs that must follow the code of a parent chain. This fine-grained control has enabled, for example, the development of Superfluid Staking, an improvement to Proof-of-Stake security. Superfluid staking allows the underlying OSMO in an LP position to add to chain security and earn staking rewards for doing so. The customizability of appchains also allows for the development of a transaction mempool shielded with threshold encryption, which will greatly reduce harmful MEV on Osmosis.

Osmosis's vision is to build a cross-chain native DEX and trading suite that connects all chains over IBC, including Ethereum and Bitcoin. To build out the trading functionalities, Osmosis has invited external developers to create a bespoke DEX ecosystem that includes lending, credit, margin, fiat on-ramps, Defi strategy vaults, NFTs, stablecoins, and more – all the functionalities of a centralized exchange and more, plus the trust-minimization of decentralized finance.

Osmosis

Fantom is a directed acyclic graph (DAG) smart contract platform providing decentralized finance (DeFi) services to developers using its own bespoke consensus algorithm.

Together with its in-house token FTM, Fantom aims to solve problems associated with smart-contract platforms, specifically transaction speed, which developers say they have reduced to under two seconds.

The Fantom Foundation, which oversees the Fantom product offering, was originally created in 2018, with the launch of OPERA, Fantom’s mainnet, coming in December 2019.

Fantom is an open-source decentralized smart contract platform for DApps and digital assets that was created as an alternative to Ethereum. Fantom has the goal of overcoming the limitations of previous generation blockchains and balancing three components: scalability, security and decentralization. The project offers a set of tools to simplify the process of integrating existing DApps, as well as a detailed staking reward system and built-in DeFi instruments.

Fantom is a Layer-1 blockchain that uses a scratch-built consensus mechanism and independent consensus layer, Lachesis, to facilitate DeFi and related services on the basis of smart contracts. Lachesis provides security for other layers as well, including Opera, Fantom's EVM-compatible smart contract chain. The long-playing mission of the project is to “grant compatibility between all transaction bodies around the world.”

One of Fantom's key strengths is its performance and efficient transaction processing, namely thousands of transactions per second, where transactions are settled in 1-2 seconds, and the cost is fractions of a cent per transaction. As a result, Fantom provides higher scalability but at a lower cost.

The ecosystem is based on two main technologies: Lachesis protocol and Opera.

The Lachesis protocol is the core consensus layer that secures the Fantom network by providing both transaction speed and security.

Lachesis is an aBFT consensus engine that uses a directed acyclic graph (DAG) algorithm. How it works: network data can be processed at different times, and the network filters the participants, allowing only one third, which are allocated due to erroneous or malicious behavior, without compromising network processes.

Fantom's Asynchronous Byzantine Fault Tolerant (aBFT) Proof-of-Stake (PoS) consensus mechanism maintains the efficiency of the entire network, its design provides security at maximum speed. Fantom developers emphasize that the PoS mechanism is a leaderless phenomenon — there are no leaders of blocks and participants, and anyone can join (or leave) the network of nodes at a convenient moment.

The key qualities of Lachesis are: asynchronous, leaderless, Byzantine fault-tolerant, and near-instant finality.

As for Opera, it's an application development layer or Fantom's mainnet deployment platform, permissionless and open-source hosting DApps. Thanks to EVM integration and support for the Solidity programming language, Fantom has a full set of smart contract capabilities, which allows users to seamlessly interact with Ethereum platforms while maintaining the advantage of Fantom's transaction efficiency.

The Fantom Foundation concluded that removing block leaders improves network security, so Opera uses a PoS model and leaderless validators (validators do not determine which blocks are valid).

In addition to being a fast, secure and cheap payment platform that enables to make fast and secure payments at minimal cost, Fantom also features on-chain governance where users vote with FTM tokens (one token equals one vote). Of the features: users have the right to express the degree of agreement / disagreement on a scale from 0 to 4.

FTM is the native utility in-house PoS token of Fantom that powers the ecosystem and is applied for payments, network fees, staking, and governance. FTM forms the backbone of transactions, and allows fee collection and staking activities, along with the user rewards the latter represents.

Fantom

Ethereum-based DYDX ($ethDYDX) is a governance token that allows the dYdX community to truly govern the dYdX Layer 2 Protocol built on Ethereum ("dYdX v3"). ethDYDX is currently undergoing a migration from Ethereum to the dYdX Chain. More information is available here. If you want to migrate ethDYDX to dYdX Chain DYDX, to enable staking, security and governance of the dYdX Chain you can follow the how-to-bridge guide here.

If you want to read about the new token utility for dYdX Chain DYDX you can read the blog here

ethDYDX (dYdX) is the governance token for the layer 2 protocol built on Ethereum. By enabling shared control of dYdX v3, ethDYDX allows traders, liquidity providers, and partners of dYdX to work collectively towards an enhanced dYdX v3.

Built on StarkWare’s StarkEx scalability engine, layer 2 is used for trading of cross-margined perpetuals on the platform. The scaling solution allows dYdX to increase transaction speed, eliminate gas costs, reduce trading fees and lower​​ minimum trade sizes on the protocol.

A total of 1,000,000,000 ethDYDX have been minted, and started to become accessible over five (5) years, on August 3rd, 2021, at 15:00:00 UTC.

dYdX (ethDYDX)

Enjin Coin is a project of Enjin, a company that provides an ecosystem of interconnected, blockchain-based gaming products. Enjin's flagship offering is the Enjin Network, a social gaming platform through which users can create websites and clans, chat, and host virtual item stores.

Enjin allows game developers to tokenize in-game items on the Ethereum blockchain. It uses Enjin Coin, an ERC-20 token, to back the digital assets issued using its platform, meaning that items can be bought, sold and traded with real-world value.

Enjin Coin was first announced in July 2017, and it launched on the Ethereum mainnet in June 2018.

Enjin Coin (ENJ) is a digital store of value used to back the value of blockchain assets like non-fungible tokens (NFTs).
Every asset minted with the Enjin Platform contains ENJ, a minting resource which is locked inside NFTs and removed from circulation. Minting blockchain assets with ENJ provides a variety of benefits to creators and users:

Infuses them with a reserve value

Ensures their transparency and scarcity

Gives them instant liquidity

Provides utility in games and apps

Anti-inflationary

Enjin's "melting" functionality allows users to destroy their blockchain assets at any time to retrieve the ENJ value from within.

The Enjin blockchain ecosystem aims to offer software products that make it easy for everyone to develop, trade, monetize, and market with blockchain.

Founded in 2009, Enjin has roots in the gaming industry, with the company’s first product, a gaming community platform called the Enjin Network, growing to 20 million users over the course of a decade.

In 2017 following an ICO, Enjin established itself as a leading blockchain ecosystem developer, building a suite of software products that enable anyone to easily mint, manage, trade, distribute, and integrate blockchain assets.

Enjin’s co-founder Witek Radomski wrote the code for one of the first ever non-fungible tokens (NFTs) and is also the co-author of the ERC-1155 Ethereum token standard.

Built on top of an on-chain infrastructure, the Enjin ecosystem enables game developers and businesses of all sizes to use tokenized digital assets as part of their acquisition, retention, engagement, and monetization strategies. The Enjin ecosystem is fueled by Enjin Coin (ENJ), a cryptocurrency used to back the value of blockchain assets.

Enjin Coin

Flow

Acala Token

LRC is the Ethereum-based cryptocurrency token of Loopring, an open protocol designed for the building of decentralized crypto exchanges.

In 2020, the average daily trading volume of the entire cryptocurrency market fluctuated in the approximate range of $50-$200 million. Most of that trading is conducted on centralized cryptocurrency exchanges — online platforms operated by private companies that store users’ funds and facilitate the matching of buy and sell orders.

Such platforms have a number of downsides common to all of them, so a new type of exchange — decentralized— has emerged to try to alleviate these disadvantages. However, fully decentralized exchanges are not without their own flaws.

Loopring’s purported goal is to combine centralized order matching with decentralized on-blockchain order settlement into a hybridized product that will take the best aspects of both centralized and decentralized exchanges.

LRC tokens became available to the public during an initial coin offering (ICO) in August 2017, while the Loopring protocol was first deployed on Ethereum mainnet in December 2019.

Loopring

Mina Protocol is a minimal “succinct blockchain” built to curtail computational requirements in order to run DApps more efficiently. Mina has been described as the world’s lightest blockchain since its size is designed to remain constant despite growth in usage. Furthermore, it remains balanced in terms of security and decentralization. The project was rebranded from Coda Protocol to Mina in October 2020.

To learn more about this project, check out our deep dive of Mina Protocol.

The Mina network has a size of only 22 KB, which is miniscule when compared to Bitcoin’s 300 GB blockchain.

Mina

Synthetix is building a decentralized liquidity provisioning protocol that any protocol can tap into for various purposes. Its deep liquidity and low fees serve as a backend for many exciting protocols on both Optimism and Ethereum. Many user-facing protocols in the Synthetix ecosystem, such as Kwenta (Spot and Futures), Lyra (Options), Polynomial (Automated Options), and 1inch & Curve (Atomic Swaps), tap into Synthetix liquidity to power their protocols. Synthetix is built on Optimism and Ethereum mainnet. The Synthetix Network is collateralized by SNX, ETH, and LUSD, enabling the issuance of synthetic assets (Synths). Synths track and provide returns on the underlying asset without requiring one to directly hold the asset. This pooled collateral enables an array of on-chain, composable financial instruments backed by liquidity from Synthetix. Some of the most exciting upcoming releases from SNX are Perps V2, which hopes to enable low-fee on-chain futures trading through the usage of off-chain oracles, and Synthetix V3, which aims to rebuild the protocol to achieve its earliest goal, being a fully permissionless derivatives protocol. Learn more about Synthetix on their blog or by joining the SNX Discord.

The platform aims to broaden the cryptocurrency space by introducing non-blockchain assets, providing access to a more robust financial market.

Synthetix

Helium (HNT) is a decentralized blockchain-powered network for Internet of Things (IoT) devices.

Launched in July 2019, the Helium mainnet allows low-powered wireless devices to communicate with each other and send data across its network of nodes.

Nodes come in the form of so-called Hotspots, which are a combination of a wireless gateway and a blockchain mining device. Users who operate nodes thus mine and earn rewards in Helium’s native cryptocurrency token, HNT.

Helium’s goal is to prepare IoT communication for the future, identifying inadequacies in current infrastructure from its birth in 2013.

Helium

MultiversX is a blockchain protocol that offers true horizontal scalability by using all aspects of sharding (Network, Transaction & State). The project describes itself as a technology ecosystem for the new internet, which includes decentralized finance, real world assets and the Metaverse. Its smart contracts execution platform is reportedly capable of up to 100,000 transactions per second, 6-second latency and a $0.002 transaction cost.

MultiversX is governed and secured through the EGLD token. EGLD, or Electronic Gold, is MultiversX's native token. It acts as a store of value currency to pay for network usage. The coin also serves as a medium of exchange between platform users and validators. Users pay transaction fees in EGLD and validators participate in the consensus process.

EGLD allows developers to deploy smart contracts, protocols, and dApps on the platform. It empowers participants to perform any network action. Through staking and validation rewards, as well as transaction fees, EGLD manages the MultiversX network. Plus, EGLD is endowed with the functionality of a governance token, so its holders can vote on network decisions.