## Worldcoin (WLD) คืออะไร?

ภารกิจของโครงการ Worldcoin คือเครือข่ายทางการเงินและความเป็นอัตลักษณ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในฐานะสาธารณูปโภคที่ให้ทุกคนเป็นเจ้าของได้

ระบบ Worldcoin ทำงานคล้ายๆ กับ [World ID](https://worldcoin.org/world-id) ซึ่งเป็นเครือข่ายอัตลักษณ์ระดับโลกที่มีความสามารในการรักษาความเป็นส่วนตัว World ID ช่วยให้ผู้ใช้สามารถยืนยันความเป็นมนุษย์ในทางออนไลน์ได้ ("การพิสูจน์อัตลักษณ์") ในขณะที่ยังคงรักษาความเป็นส่วนตัวผ่าน [zero-knowledge proofs](https://en.wikipedia.org/wiki/Zero-knowledge_proof)

หากต้องการมีส่วนร่วมกับโปรโตคอล Worldcoin แต่ละคนจะต้องดาวน์โหลด [World App](https://worldcoin.org/world-app) ก่อน ซึ่งมันถือว่าเป็นแอปวอลเลทตัวแรกที่รองรับการสร้าง World ID แต่ละคนจะต้องไปที่อุปกรณ์ถ่ายภาพที่เรียกว่า [Orb](https://worldcoin.org/blog/worldcoin/orb-faqs) เพื่อขอรับ World ID *Orb-verified* Orb ส่วนใหญ่ดำเนินการโดยเครือข่ายธุรกิจอิสระแบบท้องถิ่นที่เรียกว่า [Orb Operators](https://worldcoin.org/blog/worldcoin/what-is-worldcoin-operator) Orb ใช้เซ็นเซอร์หลายสเปกตรัมเพื่อตรวจสอบความเป็นมนุษย์และอัตลักษณ์ โดยภาพทั้งหมดจะถูกลบในอุปกรณ์โดยทันทีตามค่าเริ่มต้น (ซึ่งเป็นการความยินยอมอย่างชัดแจ้งต่อการดูแลข้อมูล)

ผู้ถือ World ID ที่ผ่านการยืนยันด้วย Orb ทุกคนมีสิทธิ์ขอรับสิทธิ์โทเค็น WLD ฟรีที่เกิดขึ้นประจำ (โทเค็น WLD ไม่มีให้บริการในสหรัฐอเมริกา โปรดดู [Worldcoin Tokenomics](https://whitepaper.worldcoin.org/tokenomics) ในไวท์เปเปอร์ของโครงการเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม) สิ่งนี้มีศักยภาพพอที่จะทำให้ WLD เป็นคริปโตเคอร์เรนซีที่มีการกระจายตัวอย่างกว้างขวางที่สุด

โทเค็น WLD ได้รับการออกแบบให้เป็นโทเค็นยูทิลิตี้ที่มีคุณสมบัติในการกำกับดูแล เพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้ใช้โดยให้พวกเขามีสิทธิ์ในอนาคตของโปรโตคอล นอกเหนือจากกลไกการกำกับดูแลแบบ "หนึ่งโทเค็น-หนึ่งโหวต" ในรูปแบบเดิม การเปิดตัว World ID ยังถือเป็นการปูทางสำหรับกลไก "หนึ่งคนหนึ่ง-หนึ่งคะแนน" อีกด้วย กลไกทั้งสองนี้สามารถรวมกันเพื่อการเปิดใช้งานแนวทางในการกำกับดูแลแบบใหม่ หลังจากเปิดตัว มูลนิธิ Worldcoin จะเรียกร้องข้อเสนอและทำงานร่วมกับชุมชนในหัวข้อที่เกี่ยวกับวิธีที่ World ID และโทเค็น WLD ควรใช้ในการโต้ตอบกันในรูปแบบการปกครองของ Worldcoin (ดู [เอกสารทางเทคนิคของโครงการ](https://whitepaper.worldcoin.org/) สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับการกำกับดูแลและการกระจายศูนย์)

ชุมชนของผู้ใช้งานจะเป็นผู้กำหนดยูทิลิตี้ของโทเค็น แต่อาจมีกรณีการใช้งานอื่นๆ อีกสองสามกรณีนอกเหนือจากการกำกับดูแลดังกล่าว ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้อาจตัดสินใจใช้โทเค็น WLD เพื่อชำระเงินสำหรับการดำเนินการบางอย่างใน World App หรือวอลเลทแอปอื่นๆ  เพื่อชำระเงินในกรณีต่างๆ หรือเพื่อส่งสัญญาณการอนุมัติสำหรับการริเริ่มหรือสำหรับเหตุผลบางประการ

GNO เป็นโทเค็น ERC-20 บน Ethereum บุคคลทั่วไปจะได้รับสิทธิ์ใช้งานบน Optimism Mainnet ดังนั้น ธุรกรรมของ WLD ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในเครือข่าย Optimism

### ใครคือผู้ก่อตั้ง Worldcoin

Worldcoin ก่อตั้งโดย Sam Altman, Alex Blania และ Max Novendstern (Max Novendstern ซึ่งออกจากโครงการในเดือนกรกฎาคม 2021) Sam Altman ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอคนปัจจุบันของ OpenAI และอดีตประธานของ Y Combinator ซึ่งเป็นอีกหนึ่งศูนย์บ่มเพาะสำหรับสตาร์ทอัพต่างๆ การวิจัยและพัฒนาเบื้องต้นสำหรับโครงการ Worldcoin ดำเนินการโดย Tools for Humanity (TFH) และพันธมิตรรายอื่นๆ

Worldcoin ระดมทุนได้มากกว่า 250 ล้านเหรียญสหรัฐจากการระดมทุนหลายรอบจากนักลงทุน เช่น a16z, Khosla Ventures, Bain Capital Crypto, Blockchain Capital และ Tiger Global เป็นต้น

### อะไรที่ทำให้ Gitcoin ไม่เหมือนใคร

Worldcoin มีเป้าหมายที่จะเป็นเครือช่ายทางการเงินและอัตลักษณ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผลักดันให้เกิดการนำไปใช้ทั่วโลกอย่างแท้จริงในระดับพันล้านคน ตรงกันข้ามกับโครงการคริปโตอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่ โทเค็น WLD จะถูกส่งมอบให้กับบุคคลทั่วไป - เพื่อการยืนยันว่าเป็นมนุษย์

การใช้งาน [World ID](https://worldcoin.org/world-id) บุคคลจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าตนเป็นมนุษย์จริงๆ และไม่เหมือนใครบนแพลตฟอร์มใดๆ ที่รวมเข้ากับโปรโตคอล รวมถึง [ระบบ web3](https://worldcoin.org/blog/announcements/talent-protocol-first-web3-platform-integrate-world-id-europe) บนเครือข่ายสังคม และโปรแกรมของรัฐบาล สิ่งนี้จะช่วยให้การขาย airdrops หรือโทเค็น/NFT เป็นไปอย่างยุติธรรม ให้การป้องกันการโจมตีของบอท/ซีบิลบนโซเชียลมีเดีย และช่วยให้สามารถแจกจ่ายทรัพยากรของรัฐบาลที่จำกัดได้อย่างยุติธรรมยิ่งขึ้น นอกจากนี้ World ID ยังสามารถเปิดใช้งานกระบวนการประชาธิปไตยได้ทั่วโลกและมีรูปแบบการปกครองแบบใหม่ (เช่น ผ่านการลงคะแนนแบบกำลังสอง) และในที่สุดอาจสนับสนุนในการไปสู่ UBI ที่สนับสนุนโดย AI

ผู้คนกว่าสองล้านคนจากกว่า 30 ประเทศใน 5 ทวีปได้ทำการยืนยันอัตลักษณ์บน Orb ในช่วงก่อนการเปิดตัว ซึ่งกินเวลาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2021 จนถึงเดือนกรกฎาคม 2023 ในการเปิดตัว Worldcoin เริ่ม [เปิดตัวในจำนวน 1,500 Orbs](http://worldcoin.org/blog/announcements/worldcoin-begins-rollout-orbs-meet-global-demand-world-id) ในเมืองมากกว่า 35 เมืองจากกว่า 20 ประเทศเพื่อตอบสนองความต้องการสำหรับ World ID จากทั่วโลก

#### หน้าที่เกี่ยวข้อง:

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ World ID, Orb และโปรโตคอล Worldcoin โปรดดู [Worldcoin Whitepaper](https://whitepaper.worldcoin.org/) (เวอร์ชั่น 24 กรกฎาคม 2023)

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโทเคโนมิกของ Worldcoin โปรดดูที่ส่วน [โทเคโนมิกส์ของเวิลด์คอยน์](https://whitepaper.worldcoin.org/tokenomics) ในเอกสารรายงานของโครงการ

### มีโทเค็น Worldcoin (WLD) จำนวนเท่าใดในการหมุนเวียน

ปริมาณรวมเริ่มต้นของ Worldcoin คือ 10 พันล้าน WLD

เป็นเวลา 15 ปีหลังจากเปิดตัว ขีดจำกัดอุปทานถูกกำหนดไว้ที่ 10B WLD (บังคับใช้โดย WLD smart contract) หลังจากผ่านไป 15 ปี ผู้ดูแลอาจตัดสินใจใช้มาตรการอัตราเงินเฟ้อสูงถึง 1.5% ต่อปี หากเห็นว่าจำเป็นสำหรับความยั่งยืนในระยะยาวของโปรโตคอล ผู้กำกับดูแลจะตัดสินใจว่าจะจัดสรรโทเค็นที่สร้างใหม่เหล่านี้อย่างไร (ถ้ามี) อัตราเงินเฟ้อสูงสุด 1.5% ต่อปีบังคับใช้โดย WLD smart contract ตามค่าเริ่มต้น เว้นแต่จะมีการเปลี่ยนแปลงจากหน่วยงานการกำกับดูแล ซึ่งจะทำให้อัตราเงินเฟ้อจะถูกตั้งค่าเป็น 0%

โทเค็น 10B WLD ถูกจัดสรรให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ ดังนี้:

* 75% ของโทเค็น WLD ถูกจัดสรรให้กับชุมชน Worldcoin
* 9.8% ของโทเค็น WLD ถูกจัดสรรให้กับทีมพัฒนาในระยะเริ่มต้น
* 13.5% ของโทเค็น WLD ถูกจัดสรรให้กับนักลงทุน TFH
* 1.7% ของโทเค็น WLD ได้รับการจัดสรรไปยัง TFH Reserve

มูลนิธิ Worldcoin Foundation ได้กำหนดเป้าหมายการจัดสรรโทเค็นตามแรงบันดาลใจต่างๆ โดยมีเป้าหมายที่จะจัดสรรอย่างน้อย 60% ของโทเค็น WLD ทั้งหมด (ซึ่งมาจากกลุ่มชุมชน Worldcoin) ให้กับบุคคลต่างๆ ในรูปแบบของเงินช่วยเหลือจากผู้ใช้งาน ดูเกี่ยวกับ [Worldcoin Tokenomics](https://whitepaper.worldcoin.org/tokenomics) ในเอกสารทางเทคนิคของโครงการสำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม

สำหรับข้อมูลออนไลน์เกี่ยวกับ WLD โปรดดูที่ [แดชบอร์ด Dune นี้](https://dune.com/worldcoin/worldcoin)

### โปรโตคอล Worldcoin มีความปลอดภัยอย่างไร

สัญญาโทเค็น WLD ถูกปรับใช้บน Ethereum Mainnet และโทเค็นนั้นเชื่อมโยงกับเครือข่าย Optimism "เลเยอร์ 2" ดังนั้นจึงสามารถสืบทอดคุณสมบัติด้านความปลอดภัยของบล็อกเชนทั้งสองนี้ได้

Spain Bans Worldcoin Operations Over Data Privacy Concerns

Worldcoin Launches WLD Token on Optimism, Trading Starts on Major Exchanges

Are These the Next Blockchain Titans?

What Is Worldcoin? Iris-Scanning Crypto Project Founded by OpenAI CEO Sam Altman

Worldcoin

Welcome to Worldcoin's Community channel aggregated by CoinMarketCap.

Ethereum

Shiba Inu

Chainlink

Pepe

Uniswap

Ethena

Wormhole

The Sandbox

AIOZ Network

Synthetix

Quant

Aevo

Axie Infinity

Safe

Pendle

Truebit

EscoinToken

ClearDAO

Amino

WadzPay Token

Arbitrum is an Ethereum layer-two (L2) scaling solution. It uses optimistic rollups to achieve its goal of improving speed, scalability and cost-efficiency on Ethereum. Arbitrum benefits from the security and compatibility of Ethereum. Another benefit is the higher throughput and lower fees compared to Ethereum. That is made possible thanks to moving most of the computation and storage load off-chain.

Arbitrum’s native token is called ARB and is used for governance. Offchain Labs, the developers behind Arbitrum, announced the shift to a decentralized autonomous organization (DAO) structure — the Arbitrum DAO. ARB holders can vote on proposals that affect the features, protocol upgrades, funds allocation and election of a Security Council.

Arbitrum has an ambitious roadmap for 2023, which includes: Launching its own layer-three solution called Orbit; Enabling developers to deploy programs written in popular programming languages like Rust, C++, and more using Stylus; Expanding its validator set to include more independent institutional validators; Moving its protocol to layer two with Arbitrum One.

On March 16, 2023,  Arbitrum announced their highly anticipated airdrop of ARB. The token will be airdropped to early users and DAOs building on Arbitrum, with 12.75% of the total supply to be distributed. Recipients were rewarded on a point-based system depending on their interaction with the Arbitrum network until a cutoff date of March 1, 2023. The token generation event is on March 23, 2023.

Arbitrum

Sui is a groundbreaking layer-1 blockchain platform designed to support the needs of global adoption by offering a secure, powerful, and scalable development platform. At its core, Sui leverages a novel object-centric data model and the secure Move programming language to address inefficiencies prevalent in existing blockchain architectures.

On top of strong technical foundations, Sui prioritizes user experience by eliminating barriers commonly associated with blockchain interactions. Through innovations like zkLogin, sponsored transactions, and programmable transaction blocks, Sui creates a higher standard for user experience within Web3 by ensuring applications are accessible and user-friendly.

RenderToken (RNDR) is a distributed GPU rendering network built on top of the Ethereum blockchain, aiming to connect artists and studios in need of GPU compute power with mining partners willing to rent their GPU capabilities out. Conceived in 2009 by OTOY, inc. CEO Jules Urbach and launched in 2017, RNDR held its first public token sale in October of that same year, followed by a private sale period lasting from January 2018 – May 2018, wherein a total of 117,843,239 RNDR were sold at a price of 1 RNDR = $0.25 USD equivalent of token.
During the private sale period, early adopters were onboarded onto the RNDR Beta Testnet, where beta node operators and artists worked collaboratively with the RNDR team in building and testing the network, up until its public launch on April 27th 2020.

Render

Optimism (OP) is a layer-two blockchain on top of Ethereum. Optimism benefits from the security of the Ethereum mainnet and helps scale the Ethereum ecosystem by using optimistic rollups. That means transactions are trustlessly recorded on Optimism but ultimately secured on Ethereum.

Optimism is one of the biggest scaling solutions for Ethereum with over $500 million in TVL. It is home to 97 protocols, the biggest being Synthetix (SNX), a derivatives exchange, Uniswap (UNI), a DEX, and Velodrome (VELO), an AMM. Users can begin their journey on Optimism by adding the chain on their Metamask and bridging tokens like ETH to the L2. On May 31, 2022, Optimism conducted a highly anticipated airdrop of its OP token.

Optimism

Celestia

Founded in 2017 and launched via IEO on Binance in March 2019, Fetch.AI is an artificial intelligence (AI) lab building an open, permissionless, decentralized machine learning network with a crypto economy. Fetch.ai democratizes access to AI technology with a permissionless network upon which anyone can connect and access secure datasets by using autonomous AI to execute tasks that leverage its global network of data. The Fetch.AI model is rooted in  use cases like optimizing DeFi trading services, transportation networks (parking, micromobility), smart energy grids, travel — essentially any complex digital system that relies on large-scale datasets.

Fetch.ai

SingularityNET is a blockchain-powered platform that allows anybody to easily "create, share, and monetize" AI services, thanks to its globally-accessible AI marketplace.

Through the SingularityNET marketplace, users can browse, test and purchase a huge variety of AI services using the platform’s native utility token — AGIX. Moreover, the marketplace represents an outlet AI developers can use to publish and sell their AI tools, and easily track their performance.

With the benefits of LLMs and generative AI are increasingly exciting, their limitations are also becoming increasingly apparent. The convergence of structured knowledge with neural networks is emerging as the key to overcoming their shortcomings.

Uniquely positioned at the heart of this convergence, SingularityNET will prioritize the integration of Knowledge Graphs (KGs) and comprehensive Neural Symbolic tools for LLMs, with the goal of empowering developers to create the next generation of AI systems on the SingularityNET Platform.

SingularityNET is strategically positioned to become the Knowledge Layer of the Internet, leading the evolution of the emerging AI landscape while also laying the foundations for the Artificial General Intelligence (AGI) of tomorrow.

The team behind SingularityNET pioneered the development of an AI known as Sophia, which is described as the "world's most expressive robot". SingularityNET’s goal is to enable Sophia to be able to fully understand human language, and continue developing “OpenCog” — an AI framework that is hoped to eventually achieve a state known as “advanced general intelligence,” i.e. human-level artificial intelligence (or beyond).

The platform was first announced in 2017 and completed an initial coin offering (ICO) in December the same year, raising $36 million in just one minute.

SingularityNET

Aptos is a Layer 1 Proof-of-Stake (PoS) blockchain that employs a novel smart contract programming language called Move, a Rust-based programming language that was independently developed by Meta (formerly Facebook)’s Diem blockchain engineers.

Aptos’s vision is a blockchain that brings mainstream adoption to web3 and empowers an ecosystem of DApps to solve real-world user problems.

The PoS blockchain can achieve a theoretical transaction throughput of over 150,000 transactions per second (tps) through parallel execution.

In March 2022, Aptos raised $200 million in a seed round led by the venture capital firm Andreessen Horowitz (a16z). Other crypto heavyweights like Tiger Global and Multicoin Capital took part in the funding round. Fast forward to July, the startup raised another $200 million in a Series A round with participation from Dragonfly, Apollo Global, Franklin Templeton, Animoca, Jump Crypto and others.

Two months later, Binance Labs made a strategic investment of an undisclosed amount in Aptos.

On Oct. 18, 2022, Aptos announced the mainnet launch, while the Aptos genesis occurred on Oct. 12, 2022.

Aptos

ORDI

Ondo

PEPE is a deflationary memecoin launched on Ethereum. The cryptocurrency was created as a tribute to the Pepe the Frog internet meme, created by Matt Furie, which gained popularity in the early 2000s.

The project aims to capitalize on the popularity of meme coins, like Shiba Inu and Dogecoin, and strives to establish itself as one of the top meme-based cryptocurrencies. PEPE appeals to the cryptocurrency community by instituting a no-tax policy and being up-front about its lack of utility, keeping things pure and simple as a memecoin.

In late April to May 2023, the explosive surge of PEPE caused its market cap to reach a high of $1.6 billion at one point, minting millionaires out of early holders and attracting a strong community of like-minded followers. It has induced what some may dub a "memecoin season," causing other memecoins — some launched within hours — to go on spectacular pumps and just as astounding dumps. It remains to be seen if PEPE and other memecoins will go on to new highs, although that is certainly the hope of many believers waiting for the coming BTC halving cycle praying for a Bull Run.

The PEPE roadmap features three phases, where phase one includes listing on CoinMarketCap, and getting $PEPE trending on Twitter, while phase two includes listing on centralized exchanges (CEXs) and phase three includes “tier 1” exchange listings and what the team terms a “meme takeover.”

Injective is a blockchain built for finance. It is an open, interoperable layer-one blockchain powering next-generation DeFi applications, including decentralized spot and derivatives exchanges, prediction markets, lending protocols and more.

Injective uniquely provides powerful core financial infrastructure primitives that applications can leverage, including a fully decentralized MEV-resistant on-chain orderbook. In addition, all forms of financial markets such as spot, perpetual, futures and options are fully on-chain. The decentralized cross-chain bridging infrastructure is compatible with Ethereum, IBC-enabled blockchains, and non EVM chains such as Solana.

Injective also provides a next-generation, highly interoperable smart contract platform based on CosmWasm, with advanced interchain capabilities. Injective is custom built with the Cosmos SDK and utilizes Tendermint-based Proof-of-Stake consensus mechanism, providing instant transaction finality with the ability to sustain lightning-fast performance (10,000+ TPS).

The Injective ecosystem includes 100+ projects and over 150,000 community members globally. Injective is backed by a group of prominent investors such as Binance, Pantera Capital, Jump Crypto and Mark Cuban.

Injective’s core exchange module provides state-of-the-art capabilities including an advanced on-chain order book and matching engine for spot, perpetual, futures and options markets, resistance to Miner-Extractable Value (MEV) through frequent batch auction order matching, and zero gas fees for users.

Injective natively uses IBC and is highly-interoperable with multiple layer 1s, including, but not limited to, Polygon and Solana (through an upcoming Wormhole integration). It is also uniquely built to be interoperable with Ethereum, through its own decentralized ERC-20 token bridge, making Injective the first network within the Cosmos ecosystem to natively support Ethereum assets.

Smart contracts are implemented on Injective through CosmWasm, allowing for multi-chain smart contract transactions to occur seamlessly. Injective, however, is the only blockchain that enables automatic smart contract execution. This capability serves as a powerful building block for developers to create novel use cases that would not be possible on any other chain.

The use cases intended for INJ include but are not limited to: protocol governance, dApp value capture, Proof-of-Stake (PoS) security, developer incentives and staking. Further details regarding each of these use cases can be found below:

Protocol Governance: The INJ token governs every single component of Injective, including chain upgrades. Since its mainnet launch, the Injective community has actively contributed to governance, with all proposals passing through a DAO governance vote. The comprehensive governance page is available here.

Protocol Fee Value Capture: 60% of all fees generated from dApps enter an on-chain buy-back-and-burn auction to maintain the deflationary nature of INJ. The burn auction page is available here.

Tendermint-based Proof-of-Stake (PoS) Security: INJ is used to secure the Injective blockchain using a proof-of-stake mechanism. Validators and delegators can both participate in staking.

Developer Incentives: 40% of fees generated by users on dApps built on Injective go directly towards incentivizing new developers building on Injective which brings an ever growing funnel of builders to Injective.

Injective

Pyth Network

Manta Network

Solana is a highly functional open source project that banks on blockchain technology’s permissionless nature to provide decentralized finance (DeFi) solutions. While the idea and initial work on the project began in 2017, Solana was officially launched in March 2020 by the Solana Foundation with headquarters in Geneva, Switzerland.

To learn more about this project, check out our deep dive of Solana.

The Solana protocol is designed to facilitate decentralized app (DApp) creation. It aims to improve scalability by introducing a proof-of-history (PoH) consensus combined with the underlying proof-of-stake (PoS) consensus of the blockchain.

Because of the innovative hybrid consensus model, Solana enjoys interest from small-time traders and institutional traders alike. A significant focus for the Solana Foundation is to make decentralized finance accessible on a larger scale.

Solana

NEAR Protocol is a layer-one blockchain that was designed as a community-run cloud computing platform and that eliminates some of the limitations that have been bogging competing blockchains, such as low transaction speeds, low throughput and poor interoperability. This provides the ideal environment for DApps and creates a developer and user-friendly platform. For instance, NEAR uses human-readable account names, unlike the cryptographic wallet addresses common to Ethereum. NEAR also introduces unique solutions to scaling problems and has its own consensus mechanism called “Doomslug.”

NEAR Protocol is being built by the NEAR Collective, its community that is updating the initial code and releasing updates to the ecosystem. Its declared goal is to build a platform that is “secure enough to manage high value assets like money or identity and performant enough to make them useful for everyday people.”

Flux, a protocol that allows developers to create markets based on assets, commodities, real-world events, and Mintbase, an NFT minting platform are examples of projects being built on NEAR Protocol.

NEAR Protocol

Arkham is a blockchain analysis platform that uses artificial intelligence (AI) to deanonymize the blockchain and on-chain data.

The platform’s two main components are the Analytics Platform and Intel Exchange. The Analytics Platform covers analytics on various entities, exchanges, funds, whales and tokens. For instance, you can check the portfolio holdings, transaction history, exchange flows, network relationships and other on-chain analytics. The Intel Exchange allows anyone to buy and sell address labels and other intelligence, either through bounties, auctions or the DATA Program.

Arkham uses an in-house AI engine with various sources of data, such as public records, social media, web scraping and user submissions. The data is used to label addresses and provide entity analytics for ULTRA, the company’s AI algorithm.

Arkham’s platform can be used for various purposes, such as tracking stolen funds, identifying fraudsters, verifying counterparties, auditing transactions, investigating hacks, and more. Arkham claims that its platform can help combat the proliferation of crypto crimes and scams by incentivizing on-chain research.

However, Arkham’s platform has also raised privacy concerns among some crypto users and advocates, who argue that deanonymizing the blockchain violates the principles of anonymity and censorship-resistance that underpin the crypto movement. Arkham has defended its platform by saying that it does not collect or store any personal data from users, and that it only provides publicly available information that can be verified on the blockchain.

Arkham

Avalanche is a layer one blockchain that functions as a platform for decentralized applications and custom blockchain networks. It is one of Ethereum’s rivals, aiming to unseat Ethereum as the most popular blockchain for smart contracts. It aims to do so by having a higher transaction output of up to 6,500 transactions per second while not compromising scalability.

This is made possible by Avalanche’s unique architecture. The Avalanche network consists of three individual blockchains: the X-Chain, C-Chain and P-Chain. Each chain has a distinct purpose, which is radically different from the approach Bitcoin and Ethereum use, namely having all nodes validate all transactions. Avalanche blockchains even use different consensus mechanisms based on their use cases.

After its mainnet launch in 2020, Avalanche has worked on developing its own ecosystem of DApps and DeFi. Different Ethereum-based projects such as SushiSwap and TrueUSD have integrated with Avalanche. Furthermore, the platform is constantly working on improving interoperability between its own ecosystem and Ethereum, like through the development of bridges.

Avalanche

Founded in 2017, Chainlink is a blockchain abstraction layer that enables universally connected smart contracts. Through a decentralized oracle network, Chainlink allows blockchains to securely interact with external data feeds, events and payment methods, providing the critical off-chain information needed by complex smart contracts to become the dominant form of digital agreement.

The Chainlink Network is driven by a large open-source community of data providers, node operators, smart contract developers, researchers, security auditors and more. The company focuses on ensuring that decentralized participation is guaranteed for all node operators and users looking to contribute to the network.

To learn more about this project, check out our deep dive of Chainlink.