## WOO คืออะไร?

WOO Network ซึ่งแทนด้วยโทเค็น WOO เป็นส่วนสำคัญของระบบนิเวศที่กว้างขึ้นซึ่งออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความสามารถในการให้สภาพคล่องและประสบการณ์การซื้อขายทั้งในภูมิทัศน์การเงินที่มีการควบคุมและไม่มีการควบคุม โทเค็นนี้มีหลายวัตถุประสงค์ รวมถึงการเดิมพันเพื่อผลตอบแทนบน WOOFi—แพลตฟอร์มแบบกระจายอำนาจที่เสนอเครื่องมือทางการเงินหลากหลายประเภท เช่น การแลกเปลี่ยนและฟิวเจอร์สถาวะถาวร นอกจากนี้ WOO ยังสามารถเดิมพันบน WOO X แพลตฟอร์มการซื้อขายแบบมีการควบคุมที่มีประสิทธิภาพสูงและเครื่องมือการซื้อขายขั้นสูง ที่ผู้ใช้ได้รับประโยชน์จากค่าธรรมเนียมที่ลดลงและขีดจำกัดอัตรา API ที่เพิ่มขึ้น

เปิดตัวในวันที่ 30 ตุลาคม 2020 โครงข่ายนี้เริ่มต้นด้วยการแนะนำโทเค็นจำนวน 3 พันล้านโทเค็น อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ได้ถูกเผาทำลาย ปรับปริมาณโทเค็นทั้งหมดเหลือประมาณ 2.23 พันล้านโทเค็น โดยมีส่วนใหญ่อยู่ในการหมุนเวียนแล้ว การปรับนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเครือข่ายในการรักษาระบบนิเวศที่สมดุลและยั่งยืน

ทีมผู้ก่อตั้งประกอบด้วยบุคคลที่มีประสบการณ์อันหลากหลายในด้านการเงินและเทคโนโลยี รวมถึงผู้มีประสบการณ์จากวอลล์สตรีทและศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน ความเชี่ยวชาญนี้เห็นได้ชัดในทิศทางกลย

### WOO มีการรักษาความปลอดภัยอย่างไร?

WOO Network รับประกันความปลอดภัยของระบบนิเวศผ่านการเข้าหาหลายด้าน, โดยผสมผสานระหว่างมาตรการความปลอดภัยแบบมีศูนย์กลางและแบบกระจายอำนาจเพื่อปกป้องผู้ใช้และทรัพย์สินของพวกเขา กรอบความปลอดภัยของ WOO ประกอบด้วยหลายชั้น รวมถึงการผสานรวมทางเทคโนโลยี, การปฏิบัติการด้านความปลอดภัย, และการปฏิบัติตามมาตรฐานกฎระเบียบ

ในด้านเทคโนโลยี, WOO Network ใช้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อกับโปรโตคอล DeFi ต่างๆ เช่น ตลาดแลกเปลี่ยนแบบกระจายอำนาจและผู้ให้บริการสภาพคล่อง การผสานรวมนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มสภาพคล่องของแพลตฟอร์ม แต่ยังกระจายความเสี่ยงและรักษาความปลอดภัยของธุรกรรมต่างๆ ผ่านบล็อกเชนหลายๆ อัน ลักษณะแบบกระจายอำนาจของโปรโตคอลเหล่านี้เพิ่มชั้นความปลอดภัยโดยลดการพึ่งพาจุดล้มเหลวเดียว

ในด้านที่มีศูนย์กลาง, WOO Network นำมาตรการความปลอดภัยตามมาตรฐานอุตสาหกรรมมาใช้เพื่อปกป้องแพลตฟอร์มและผู้ใช้ มาตรการเหล่านี้รวมถึงการตรวจสอบสิทธิ์สองปัจจัย (2FA) เพื่อให้แน่ใจว่ามีเพียงผู้ใช้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงบัญชีของตน, รหัสป้องกันการหลอกลวงเพื่อป้องกันความพยายามที่จะขโมยข้อมูลการเข้าสู่ระบบ, และนโยบายรหัสผ่านที่แข็งแกร่งเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้, WOO Network ยังปฏิบัติตามกฎระเบ

### WOO จะถูกใช้อย่างไร?

โทเค็น WOO ของ WOO Network มีหลายวัตถุประสงค์ภายในระบบนิเวศของมัน โดยให้บริการทั้งในด้านการเงินแบบกลาง (CeFi) และการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi) มันถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้ในกิจกรรมทางการเงินต่างๆ รวมถึงการซื้อขาย, การเสี่ยงโชค และการเข้าร่วมโอกาสในการสร้างผลตอบแทน

ในด้านการซื้อขาย, โทเค็น WOO สามารถใช้เพื่อรับส่วนลดค่าธรรมเนียมการซื้อขาย ซึ่งเป็นประโยชน์ที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและการให้สภาพคล่องบนแพลตฟอร์มเช่น WOO X ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายแบบกลางที่มีสภาพคล่องลึกและคุณสมบัติการซื้อขายขั้นสูง แพลตฟอร์มนี้รองรับเครื่องมือสปอตและฟิวเจอร์สถาวรหลากหลาย โดยมุ่งเป้าที่จะเสนอราคาและการดำเนินการที่แข่งขันได้

สำหรับผู้ที่สนใจในพื้นที่ DeFi, โทเค็น WOO มีบทบาทสำคัญในการมีส่วนร่วมกับแอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจ (DApps) เช่น WOOFi ที่นี่, ผู้ใช้สามารถเสี่ยงโชค WOO เพื่อรับผลตอบแทน, สลับโทเค็น, มีส่วนร่วมในสัญญาถาวร, และมีส่วนร่วมในการให้สภาพคล่อง WOOFi ที่ถูกนำไปใช้ในเครือข่ายบล็อกเชนหลายเครือข่าย รวมถึง Arbitrum และ Avalanche ยืนยันถึงความสามารถในการเข้าถึงและประโยชน์ในการส่งเสริมกิจกรรมการเงินแบบกระจายอำนาจ

นอกจากนี้, โทเค็น WOO มีบทบาทสำคัญในกระบวนการกำหนดนโยบายและการตัดสินใจภายในระบบนิเวศของเครือข

### มีเหตุการณ์สำคัญใดบ้างสำหรับ WOO?

WOO Network ได้ประสบกับหลายเหตุการณ์สำคัญนับตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตและการพัฒนาภายในระบบนิเวศของสกุลเงินคริปโตเคอเรนซี่ กิจกรรมสำคัญ ๆ รวมถึงการเปิดตัว WOO Staking ซึ่งช่วยให้ผู้ถือโทเค็นสามารถได้รับรางวัลจากการ staking โทเค็นของตน คุณลักษณะนี้เพิ่มประโยชน์ใช้สอยของโทเค็นและกระตุ้นให้มีการเข้าร่วมภายในเครือข่าย

การพัฒนาที่น่าสังเกตอีกอย่างคือการรวม WOO เข้ากับ Web3 Wallet ชั้นนำ ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงและจัดการโทเค็น WOO ได้ง่ายขึ้น การรวมนี้เป็นสัญญาณของการยอมรับและการสนับสนุนจากผู้เล่นที่มีชื่อเสียงในพื้นที่สกุลเงินคริปโตเคอเรนซี่ ขยายขอบเขตการเข้าถึงและการใช้งานของโทเค็น

การเปิดตัวแคมเปญ WOOFi ร่วมกับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนรายใหญ่เน้นย้ำความพยายามของ WOO Network ในการขยายการมีอยู่และประโยชน์ใช้สอย WOOFi เป็นแอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจที่เสนอบริการ DeFi หลากหลาย เช่น การแลกเปลี่ยน, สัญญาถาวร, staking และพูลที่สร้างผลตอบแทนในหลายเครือข่ายบล็อกเชน นี่ทำให้ WOO เป็นโทเค็นที่หลากหลายภายในภาคการเงินที่มีการควบคุมและไม่มีการควบคุม

การเปิดตัว WOO X Mobile เป็นขั้นตอนสำคัญในการปรับปรุงการเข้าถึงและประสบการณ์ผู้ใช้ โดยเสนอแพลตฟอร์มมือถือสำหรับการซื้อขายที่มีความสามารถในการจัดหาสภาพคล่องสูงและการดำเนินการราคาที่แข่งขันได้ แพล

### ใครคือผู้ก่อตั้ง WOO?

WOO Network เป็นแพลตฟอร์มชั้นนำในพื้นที่ของสกุลเงินคริปโตฯ ซึ่งได้รับการร่วมก่อตั้งโดย Mark Pimentel และ Jack Tan ทั้งสองผู้ก่อตั้งมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการเงินและเทคโนโลยี ซึ่งมาจากการที่พวกเขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Kronos Research ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านควอนตัม Jack Tan ในฐานะ CEO นำทิศทางกลยุทธ์ของ WOO Network โดยมุ่งเน้นที่ภารกิจในการเพิ่มประสิทธิภาพของความสามารถในการจัดหาสภาพคล่องและการดำเนินการซื้อขายในทั้งระบบการเงินที่มีการควบคุมและไม่มีการควบคุม



## What Is WOO Network (WOO)?

The WOO Token plays a pivotal role in the WOO ecosystem, and is utilized for staking, fee discounts, and other benefits. WOO Ecosystem products connect traders, exchanges, and institutions with access to the best-in-class liquidity and trading execution at lower or zero cost. 

[WOO X](https://woo.org/) is a high performance centralized trading platform, delivering superior liquidity, execution and advanced trading tools on hundreds of spot and perpetual futures instruments. 

[WOOFi](https://fi.woo.org/), a decentralized application offering swaps, perps, WOO staking, and yield-generating pools, positions as being “the easiest way to DeFi.” WOOFi is deployed on 10+ mainstream networks including Arbitrum, Avalanche, Optimism, zkSync, and more. WOOFi is regularly a Top 10 DEX by volume, making WOO one of the only tokens that has strong adoption and utility in both CeFi and DeFi.

The WOO mission is to provide the best liquidity on the best terms. Products compete not just on price execution but also on integrity, user experience, innovative tools, and global opportunities. 

## How Many WOO Tokens Are There in Circulation?

WOO launched on October 30, 2020, with 3 billion WOO tokens created at genesis. Since then, around 24% of the supply has been burned, leaving a new max supply of 2.23 billion. Of these, around 81% have entered circulation, with ~8% vesting to team, investors, and advisors, and ~11% reserved for future team and advisors. More information is available on the [WOO token page](https://woo.org/token).


### Who Are the Founders of WOO Network?

WOO was founded by a group of Wall Street veterans and Carnegie Mellon University alumnus. Co-founder Jack Tan now leads WOO X, while other products, including WOOFi, are pursuing a more decentralized governance structure. 

### Where Can I Buy WOO Network (WOO)?

WOO is available for trading on a growing number of CEXs and DEXs, including
[WOO X](https://x.woo.org/spot), [Binance](https://www.binance.com/en/trade/WOO_USDT), [Kraken](https://www.kraken.com/prices/woo-woo-network-price-chart/eur-euro?interval=1m), [Bithumb](https://en.bithumb.com/trade/order/WOO_KRW), [OKX](https://www.okx.com/trade-spot/woo-usdt), [Kucoin](https://www.kucoin.com/trade/WOO-USDT), [MEXC](https://www.mexc.com/es-ES/exchange/WOO_USDT), [Gate.io](https://www.gate.io/trade/WOO_USDT), Trader Joe, Uniswap, and others. 

New to cryptocurrency? Read CoinMarketCap’s [easy guide](https://coinmarketcap.com/how-to-buy-bitcoin/) to buying Bitcoin or any other token.


Binance

Trust Wallet

MetaMask

Binance Chain Wallet

Atomic wallet

Supporting transparent trading platforms so you can have the freedom to do the things you want. Powered by $WOO

Ethereum

Shiba Inu

Chainlink

UNUS SED LEO

Pepe

Blur

Compound

Curve DAO Token

ApeCoin

Golem

Rocket Pool

APENFT

Arkham

PAX Gold

LayerZero

LandWu

Panther Protocol

El Hippo

Soul Society

csas (Ordinals)

Injective (INJ) is a blockchain built for finance. It is an open, interoperable layer-one blockchain powering next-generation DeFi applications, including decentralized spot and derivatives exchanges, prediction markets, lending protocols, and more.

Injective uniquely provides powerful core financial infrastructure primitives that applications can leverage, including a fully decentralized MEV-resistant on-chain orderbook. In addition, all forms of financial markets such as spot, perpetual, futures and options are fully on-chain. The decentralized cross-chain bridging infrastructure is compatible with Ethereum, IBC-enabled blockchains, and non EVM chains such as Solana.

Injective also provides a next-generation, highly interoperable smart contract platform based on CosmWasm, with advanced interchain capabilities. Injective is custom built with the Cosmos SDK and utilizes Tendermint-based Proof-of-Stake consensus mechanism, providing instant transaction finality with the ability to sustain lightning-fast performance (25,000+ TPS).

The Injective ecosystem includes 100+ projects and over 150,000 community members globally. Injective is backed by a group of prominent investors such as Binance, Pantera Capital, Jump Crypto and Mark Cuban.

Injective

Oasis is the pioneering layer 1 blockchain designed to enable scalability and confidential compute. Oasis is home to Sapphire, the first confidential EVM that empowers Web3 and Decentralized AI developers to build dApps with Smart Privacy natively on Oasis or other EVM-based chains.

ROSE is the native token of the Oasis Network used for gas fees, staking, delegation and governance. With a unique layered architecture, Oasis presents the optimal building and execution environment for DeFi, AI, GameFi, NFTs, the metaverse, data tokenization and DAO governance. Oasis also has native support for rollups at the consensus layer.

Oasis

Founded in 2017 and launched via IEO on Binance in March 2019, Fetch.AI is an artificial intelligence (AI) lab building an open, permissionless, decentralized machine learning network with a crypto economy. Fetch.ai democratizes access to AI technology with a permissionless network upon which anyone can connect and access secure datasets by using autonomous AI to execute tasks that leverage its global network of data. The Fetch.AI model is rooted in  use cases like optimizing DeFi trading services, transportation networks (parking, micromobility), smart energy grids, travel — essentially any complex digital system that relies on large-scale datasets.

Artificial Superintelligence Alliance

Ocean Protocol

Vulcan Forged is a blockchain game studio and NFT marketplace. They are the makers of VulcanVerse.

PYR  is the native utility token that is used for:

Fees for marketplace settlement

Staking in VulcanVerse land and other assets

Upgrading and sustaining game asset levels

Play-to-earn rewards

Access to our game developers and NFT dapp incubation program

Vulcan Forged Platforms and games include:

*VulcanVerse, a Grece-Roman fantasy metaverse made up of 10,000 plots of land

Anvil, a crypto-less and gas-free NFT engine for easy game and dApp onboarding

Vulcan Market, a gas free NFT marketplace for all Vulcan Forged games

Berserk, an NFT online TGG

Frenzy, a create-your-own tournament platform with PYR as it’s reward token.

Vulcan Forged (PYR)

THORChain is a decentralized liquidity protocol that allows users to easily exchange cryptocurrency assets across a range of networks including Bitcoin and Ethereum without losing full custody of their assets in the process.

With THORChain, users can simply swap one asset for another in a permissionless setting, without needing to rely on order books to source liquidity. Instead, market prices are maintained through the ratio of assets in a pool (see automated market maker.

The native utility token of the THORChain platform is RUNE. This is used as the base currency in the THORChain ecosystem and is also used for platform governance and security as part of THORChain's Sybil resistance mechanisms — since THORChain nodes must commit a minimum of 300k RUNE to participate in its rotating consensus process.

THORChain was funded through an initial DEX offering (IDO) which launched through the Binance DEX in July 2019. Its single-chain chaosnet launched in April 2021, the multi-chain upgrade was launched in April 2021 and Mainnet is now live as of Jun 2022..
Learn more here

THORChain

Fantom is a directed acyclic graph (DAG) smart contract platform providing decentralized finance (DeFi) services to developers using its own bespoke consensus algorithm.

Together with its in-house token FTM, Fantom aims to solve problems associated with smart-contract platforms, specifically transaction speed, which developers say they have reduced to under two seconds.

The Fantom Foundation, which oversees the Fantom product offering, was originally created in 2018, with the launch of OPERA, Fantom’s mainnet, coming in December 2019.

Fantom is an open-source decentralized smart contract platform for DApps and digital assets that was created as an alternative to Ethereum. Fantom has the goal of overcoming the limitations of previous generation blockchains and balancing three components: scalability, security and decentralization. The project offers a set of tools to simplify the process of integrating existing DApps, as well as a detailed staking reward system and built-in DeFi instruments.

Fantom is a Layer-1 blockchain that uses a scratch-built consensus mechanism and independent consensus layer, Lachesis, to facilitate DeFi and related services on the basis of smart contracts. Lachesis provides security for other layers as well, including Opera, Fantom's EVM-compatible smart contract chain. The long-playing mission of the project is to “grant compatibility between all transaction bodies around the world.”

One of Fantom's key strengths is its performance and efficient transaction processing, namely thousands of transactions per second, where transactions are settled in 1-2 seconds, and the cost is fractions of a cent per transaction. As a result, Fantom provides higher scalability but at a lower cost.

The ecosystem is based on two main technologies: Lachesis protocol and Opera.

The Lachesis protocol is the core consensus layer that secures the Fantom network by providing both transaction speed and security.

Lachesis is an aBFT consensus engine that uses a directed acyclic graph (DAG) algorithm. How it works: network data can be processed at different times, and the network filters the participants, allowing only one third, which are allocated due to erroneous or malicious behavior, without compromising network processes.

Fantom's Asynchronous Byzantine Fault Tolerant (aBFT) Proof-of-Stake (PoS) consensus mechanism maintains the efficiency of the entire network, its design provides security at maximum speed. Fantom developers emphasize that the PoS mechanism is a leaderless phenomenon — there are no leaders of blocks and participants, and anyone can join (or leave) the network of nodes at a convenient moment.

The key qualities of Lachesis are: asynchronous, leaderless, Byzantine fault-tolerant, and near-instant finality.

As for Opera, it's an application development layer or Fantom's mainnet deployment platform, permissionless and open-source hosting DApps. Thanks to EVM integration and support for the Solidity programming language, Fantom has a full set of smart contract capabilities, which allows users to seamlessly interact with Ethereum platforms while maintaining the advantage of Fantom's transaction efficiency.

The Fantom Foundation concluded that removing block leaders improves network security, so Opera uses a PoS model and leaderless validators (validators do not determine which blocks are valid).

In addition to being a fast, secure and cheap payment platform that enables to make fast and secure payments at minimal cost, Fantom also features on-chain governance where users vote with FTM tokens (one token equals one vote). Of the features: users have the right to express the degree of agreement / disagreement on a scale from 0 to 4.

FTM is the native utility in-house PoS token of Fantom that powers the ecosystem and is applied for payments, network fees, staking, and governance. FTM forms the backbone of transactions, and allows fee collection and staking activities, along with the user rewards the latter represents.

Fantom

Conflux (CFX) is a public layer-1 blockchain that was made to power decentralized applications (dApps), e-commerce, and Web 3.0 infrastructure by being more scalable, decentralized, and secure than existing protocols.

Conflux makes it easier to transfer valuable assets by making the process quick, effective, free of network congestion, and with low transaction costs. The platform is based on the Tree-Graph consensus mechanism, and it combines Proof-of-Work (PoW) and Proof-of-Stake (PoS) algorithms to achieve consensus. The protocol uses Turing-complete smart contracts written in Solidity, just like those on  Ethereum, and is compatible with the EVM (Ethereum Virtual Machine).

Conflux's growth is fueled by CFX, the platform's native token, which gives users financial incentives to participate and engage more. The token is used to pay transaction fees, govern the network, and is given as compensation to miners who help secure the network via staking.

Conflux

SKALE, described as a modular blockchain network, is designed to bring scalability to Ethereum. SKALE is the only blockchain network capable of running an unlimited number of fast, on-demand, pooled-security Blockchains with zero gas fees to end users. These individual chains are known as SKALE chains and can be dapp-specific or shared.

The project’s website says it wants to enable people to build and run DApps in a “decentralized modular cloud built for real-world needs and configured for your requirements.” This emphasis on decentralization isn’t at the expense of security.

According to SKALE, those who build on this platform can run Solidity smart contracts “thousands of times faster at a fraction of the mainnet cost” — with games and content streaming services among the projects that already take advantage of its infrastructure.

SKALE

GMX is a decentralized exchange (DEX) for trading perpetual cryptocurrency futures with up to 50X leverage on popular cryptocurrencies like BTC, ETH and more. The platform launched in September 2021 as Gambit Exchange. To date, GMX has a total trading volume of over $130B and 283K total users, making it the leading derivatives DEX on Arbitrum and Avalanche.

GMX runs on the Arbitrum and the Avalanche blockchain. These ecosystems are connected to the exchange via Synapse — a cross-chain bridge.

Curve is a decentralized exchange for stablecoins that uses an automated market maker (AMM) to manage liquidity.

Launched in January 2020, Curve is now synonymous with the decentralized finance (DeFi) phenomenon, and has seen significant growth in the second half of 2020.

In August, Curve launched a decentralized autonomous organization (DAO), with CRV as its in-house token. The DAO uses Ethereum-based creation tool Aragon to connect multiple smart contracts used for users’ deposited liquidity. Issues such as governance, however, differ from Aragon in their weighting and other respects.

Verasity is an open-ledger ecosystem designed to fight advertising fraud, provide open access to infrastructure for publishers and advertisers, and reward users for watching video content. Verasity also provides payment solutions and a rewarding staking ecosystem with 15% yields guaranteed through to April 2024.

Powered by a mix of artificial intelligence (AI), machine learning (ML), and cutting-edge blockchain technologies, Verasity is building the most powerful advertising ecosystem in the world through VeraViews; developing an open-access payments platform through VeraWallet, the VeraCard, and VeraPay; and enhancing the attention economy through its patented Rewarded Video module.

Verasity

The Graph is an indexing protocol for querying data for networks like Ethereum and IPFS, powering many applications in both DeFi and the broader Web3 ecosystem. Anyone can build and publish open APIs, called subgraphs, that applications can query using GraphQL to retrieve blockchain data. There is a hosted service in production that makes it easy for developers to get started building on The Graph and the decentralized network will be launching later this year. The Graph currently supports indexing data from Ethereum, IPFS and POA, with more networks coming soon.

To learn more about this project, check out our deep dive of The Graph.

To date, over3,000 subgraphs have been deployed by thousands of developers, for DApps like Uniswap, Synthetix, Aragon, AAVE, Gnosis, Balancer, Livepeer, DAOstack, Decentraland and many others. The Graph usage has been growing at over 50% MoM and hit over 7 billion queries during the month of September 2020.

The Graph has a global community, including over 200 Indexer Nodes in the testnet and more than 2,000 Curators in the Curator Program as of October 2020. To fund network development, The Graph raised funds from community members, strategic VCs and influential individuals in the blockchain community including Coinbase Ventures, DCG, Framework, ParaFi Capital, CoinFund, DTC, Multicoin, Reciprocal Ventures, SPC, Tally Capital and others. The Graph Foundation also successfully completed a public GRT Sale with participation from 99 countries (not including the U.S.). To date as of November 2020, The Graph has raised ~$25M.

The Graph

Arweave is a decentralized storage network that seeks to offer a platform for the indefinite storage of data. Describing itself as "a collectively owned hard drive that never forgets," the network primarily hosts "the permaweb" — a permanent, decentralized web with a number of community-driven applications and platforms.

To learn more about this project, check out our deep dive of Arweave.

The Arweave network uses a native cryptocurrency, AR, to pay "miners" to indefinitely store the network's information.

The project was first announced as Archain in August 2017, later rebranding to Arweave in February 2018 and officially launching in June 2018.

Arweave

LRC is the Ethereum-based cryptocurrency token of Loopring, an open protocol designed for the building of decentralized crypto exchanges.

In 2020, the average daily trading volume of the entire cryptocurrency market fluctuated in the approximate range of $50-$200 million. Most of that trading is conducted on centralized cryptocurrency exchanges — online platforms operated by private companies that store users’ funds and facilitate the matching of buy and sell orders.

Such platforms have a number of downsides common to all of them, so a new type of exchange — decentralized— has emerged to try to alleviate these disadvantages. However, fully decentralized exchanges are not without their own flaws.

Loopring’s purported goal is to combine centralized order matching with decentralized on-blockchain order settlement into a hybridized product that will take the best aspects of both centralized and decentralized exchanges.

LRC tokens became available to the public during an initial coin offering (ICO) in August 2017, while the Loopring protocol was first deployed on Ethereum mainnet in December 2019.

Loopring

Mask Network is a protocol that allows its users to send encrypted messages over Twitter and Facebook. It essentially acts as a bridge between the internet and a decentralized network running on top.

Mask Network was initially launched in July 2019, with its first use case of allowing Facebook and Twitter users to encrypt posts on the social media platforms. It then raised $2 million in a funding round in November 2020, co-led by HashKey and Hash Global, and a further $3 million funding round in February 2021 with participation from Digital Currency Group and Fundamental Labs.

Now, Mask Network offers the ability to fund Gitcoin grant campaigns directly from Twitter, as well as plans to offer peer-to-peer payments and decentralized storage functionality. It is a decentralized portal that also allows users to use DApps like crypto payments, decentralized finance, decentralized storage, e-commerce (digital goods/NFTs) and decentralized organizations (DAO) over the top of existing social networks without migrating, creating what is referred to as a decentralized Applet (DApplet) ecosystem.

Mask Network

Metis is an Ethereum Layer-2 scaling solution aiming to solve the blockchain trilemma: that blockchains cannot be decentralized, secure, and scalable simultaneously. It also strives to solve Ethereum's biggest challenges: speed, cost and scalability.

Metis wants to help developers create and manage existing decentralized applications (dApps), while also supporting developers and entrepreneurs who want to build and launch new dApps. It also integrates the Decentralized Autonomous Company (DAC) framework into its Layer 2 infrastructure to help developers and businesses move from Web 2.0 to Web 3.0.

Metis

Ethereum-based DYDX ($ethDYDX) is a governance token that allows the dYdX community to truly govern the dYdX Layer 2 Protocol built on Ethereum ("dYdX v3"). ethDYDX is currently undergoing a migration from Ethereum to the dYdX Chain. More information is available here. If you want to migrate ethDYDX to dYdX Chain DYDX, to enable staking, security and governance of the dYdX Chain you can follow the how-to-bridge guide here.

If you want to read about the new token utility for dYdX Chain DYDX you can read the blog here

ethDYDX (dYdX) is the governance token for the layer 2 protocol built on Ethereum. By enabling shared control of dYdX v3, ethDYDX allows traders, liquidity providers, and partners of dYdX to work collectively towards an enhanced dYdX v3.

Built on StarkWare’s StarkEx scalability engine, layer 2 is used for trading of cross-margined perpetuals on the platform. The scaling solution allows dYdX to increase transaction speed, eliminate gas costs, reduce trading fees and lower​​ minimum trade sizes on the protocol.

A total of 1,000,000,000 ethDYDX have been minted, and started to become accessible over five (5) years, on August 3rd, 2021, at 15:00:00 UTC.

dYdX (ethDYDX)

Immutable positions itself as the first layer-two scaling solution for NFTs on Ethereum. According to Immutable, its blockchain does away with Ethereum’s limitations like low scalability, a poor user experience, illiquidity, and a slow developer experience. Instead, users benefit from instant trading and massive scalability while enjoying zero gas fees for minting and trading NFTs without compromising user or asset security.

Thanks to this technology, users will be able to create and distribute assets like ERC-20 and ERC-721 tokens on a massive scale. Chris Clay, the game Director of Gods Unchained, a project already building on Immutable, stated that Immutable allows Gods Unchained to implement a new meta-system that was previously impossible. In this fashion, Immutable aims to create a world-class experience for users and developers alike.

Immutable

RenderToken (RNDR) is a distributed GPU rendering network built on top of the Ethereum blockchain, aiming to connect artists and studios in need of GPU compute power with mining partners willing to rent their GPU capabilities out. Conceived in 2009 by OTOY, inc. CEO Jules Urbach and launched in 2017, RNDR held its first public token sale in October of that same year, followed by a private sale period lasting from January 2018 – May 2018, wherein a total of 117,843,239 RNDR were sold at a price of 1 RNDR = $0.25 USD equivalent of token.
During the private sale period, early adopters were onboarded onto the RNDR Beta Testnet, where beta node operators and artists worked collaboratively with the RNDR team in building and testing the network, up until its public launch on April 27th 2020.