## VitaDAO คืออะไร?

VitaDAO ดำเนินการในฐานะองค์กรอิสระแบบกระจายอำนาจ (DAO) โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนายาผ่านวิธีการบริหารที่ได้รับการกำกับดูแลจากชุมชน นี่คือความพยายามร่วมกันเพื่อสนับสนุนและสนับสนุนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่มุ่งเน้นไปที่การขยายอายุขัยของมนุษย์และการปรับปรุงคุณภาพชีวิตผ่านการพัฒนาในวิทยาศาสตร์ด้านความยืนยาว แพลตฟอร์มนี้ไม่เพียงแต่เป็นของชุมชนเท่านั้น แต่ยังส encourages การมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันจากสมาชิกในกระบวนการตัดสินใจ

ใจกลางการดำเนินงานของ VitaDAO คือโทเค็นการกำกับดูแล VITA ซึ่งมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศ ผู้ถือโทเค็น VITA มีอำนาจในการโหวตเกี่ยวกับข้อเสนอและการตัดสินใจต่างๆ ซึ่งมีอิทธิพลต่อทิศทางของการจัดสรรเงินทุนสำหรับการวิจัยและการพัฒนาโครงการภายใน DAO กลไกนี้รับประกันว่าชุมชนของผู้ถือโทเค็นสามารถนำองค์กรไปสู่โครงการที่พวกเขาเชื่อว่ามีศักยภาพมากที่สุดในการขับเคลื่อนด้านวิทยาศาสตร์ความยืนยาว

นอกจากนี้ VitaDAO ได้จัดตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญในด้านการวิจัยความยืนยาว คณะกรรมการนี้ให้คำแนะนำและความเชี่ยวชาญ รับประกันว่าโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจาก VitaDAO เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์และมีศักยภาพสูงสำหรับผลกระทบ คณะกรรมการที่ปรึกษามีบทบาทสำคัญในการรักษาความสมบูรณ์ทางวิทยาศาสตร์และควา

### VitaDAO มีการรักษาความปลอดภัยอย่างไร?

VitaDAO ใช้วิธีการหลายด้านในการรักษาความปลอดภัย โดยผสมผสานทั้งมาตรการด้านเทคนิคและโปรโตคอลด้านองค์กรเพื่อป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลและการลงทุน กลยุทธ์ความปลอดภัยอย่างครอบคลุมนี้ถูกออกแบบมาเพื่อลดความเสี่ยงและปกป้องความสมบูรณ์ของแพลตฟอร์ม แม้ว่าจะสำคัญที่จะต้องยอมรับว่าไม่มีระบบใดที่สามารถรับประกันความปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ได้ เนื่องจากความเปราะบางที่มีอยู่โดยธรรมชาติของการส่งข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต

ในด้านเทคนิค VitaDAO นำมาตรการความปลอดภัยที่ทันสมัยที่สุดมาใช้ ซึ่งถูกอัปเดตและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อรับมือกับภัยคุกคามและช่องโหว่ที่เกิดขึ้นใหม่ โดยมีการป้องกันอย่างแข็งแกร่งต่อการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต การรั่วไหลของข้อมูล และภัยคุกคามไซเบอร์อื่นๆ มาตรการทางเทคนิคเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนด้วยโปรโตคอลด้านองค์กร ซึ่งรวมถึงนโยบายการจัดการข้อมูลอย่างเข้มงวดและปฏิบัติการโปร่งใส โปรโตคอลเหล่านี้มุ่งเน้นที่การรับรองว่าการดำเนินงานทั้งหมดจะดำเนินไปอย่างปลอดภัย โดยเน้นที่การปกป้องผลประโยชน์ของชุมชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

ความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของชุมชนเป็นหัวใจหลักของปรัชญาความปลอดภัยของ VitaDAO แพลตฟอร์มมีส่วนร่วมกับชุมชนในกระบวนการกำกับดูแล ซึ่งอนุญาตให้มีการตัดสินใจแบบกระจายอำนาจ

### VitaDAO จะถูกใช้อย่างไร?

VitaDAO ดำเนินการในฐานะองค์กรอิสระแบบกระจายอำนาจที่มีจุดมุ่งหมายชัดเจนในภาควิทยาศาสตร์การยืดอายุชีวิต บทบาทหลักของมันคือการจัดสรรเงินทุนให้กับโครงการวิจัยในระยะเริ่มต้นที่มุ่งเน้นที่จะเข้าใจ บรรเทา และอาจจะย้อนกลับผลกระทบของการแก่ ซึ่งจะช่วยขยายอายุขัยของมนุษย์ ความคิดริเริ่มนี้เป็นวิธีการใหม่ในการจัดหาเงินทุนด้านชีวเทคโนโลยี โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อประชาธิปไตยในการเข้าถึงและการมีส่วนร่วมในการเงินของการวิจัยความยืดอายุชีวิตที่ล้ำสมัย

กิจกรรมขององค์กรมีหลายด้าน รวมถึงการสนับสนุนนักวิจัยที่ทุ่มเทในการสำรวจการรักษาเพื่อยืดอายุชีวิตและการพัฒนาและการค้าขายทรัพย์สินทางปัญญาในสาขานี้ โดยการใช้โทเค็นการกำกับดูแล VitaDAO ทำให้สมาชิกในชุมชนสามารถมีส่วนร่วมโดยตรงในกระบวนการตัดสินใจ รวมถึงการเลือกและการจัดหาเงินทุนให้กับโครงการวิจัยที่มีแนวโน้ม รูปแบบการมีส่วนร่วมนี้รับประกันว่าความเชี่ยวชาญและความสนใจร่วมกันของชุมชนจะนำทางความพยายามขององค์กร

โดยสรุป VitaDAO ไม่เพียงแต่มุ่งเน้นไปที่การจัดหาเงินทุนเท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นที่การสร้างระบบนิเวศที่ร่วมมือกัน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และสาธารณะทั่วไปสามารถมารวมกันเพื่อเร่งความก้าวหน้าในวิทยาศาสตร์การยืดอายุชีวิต ผ่านวิธีการนวัตกรรมนี้ VitaDAO มุ่ง

### เหตุการณ์สำคัญใดบ้างที่เกิดขึ้นกับ VitaDAO?

VitaDAO ได้ทำเครื่องหมายการมีอยู่ของตนในภูมิทัศน์ของสกุลเงินดิจิทัลและบล็อกเชนผ่านการจัดกิจกรรมสำคัญต่างๆ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนและให้ทุนวิทยาศาสตร์เพื่อการยืนยาวของชีวิต องค์กรอิสระแบบเดซเซ็นทรัลไลซ์ (DAO) นี้ได้ก้าวหน้าทั้งในด้านการมีส่วนร่วมของชุมชนและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์

ในปี 2021, VitaDAO ได้ก้าวเป็นรากฐานโดยการเปิดตัว VitaDAO Academia One Pager และ VitaDAO Community & Treasury Report สารคดีเหล่านี้มีความสำคัญในการกำหนดเป้าหมาย, กลยุทธ์, และสุขภาพทางการเงินขององค์กร โดยให้ความโปร่งใสและดึงดูดความสนใจจากชุมชนวิทยาศาสตร์และคริปโต

เพื่อเพิ่มเติมตัวตนและการเข้าถึง, VitaDAO ได้นำเสนอโลโก้และภาพแบรนด์ต่างๆ ความพยายามในการสร้างแบรนด์นี้มีความสำคัญสำหรับการสร้างตัวตนที่สามารถจดจำได้และมีความสอดคล้องในการสื่อสารและแพลตฟอร์มต่างๆ ช่วยในภารกิจที่จะรวบรวมการสนับสนุนสำหรับการวิจัยเรื่องยืนยาวของชีวิต

การพัฒนาที่สำคัญในปี 2023 คือการประกาศโครงการ MatrixBio โครงการนี้แสดงถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของ VitaDAO ในการส่งเสริมวิทยาศาสตร์เพื่อการยืนยาวของชีวิต โดยแสดงบทบาทในการให้ทุนและสนับสนุนการวิจัยที่ล้ำสมัยในสาขานี้

นอกจากนี้, การก่อตั้ง VitaDAO Longevity Fellowship ได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการเลี้ยงดูความสามารถในการวิจัยเรื่อ



Governance Token for VitaDAO, focused on funding longevity research through building and marketing intellectual property in longevity. 

VitaDAO

Trust Wallet

MetaMask

VitaDAO is a community owned collective funding early stage longevity research,governed by $VITA -holders. DeSci Pioneer

VitaDAO is a community owned collective funding early stage longevity research,governed by 

Ethereum

Shiba Inu

Chainlink

Uniswap

UNUS SED LEO

Bitget Token

Quant

Bonk

Ethena

Pendle

Pepe

Ondo

Immutable

The Graph

Render

FansTime

QANplatform

PAWZONE

GameStop

Gold Fever

LCX is available for trading on a growing number of exchanges, with cryptocurrency and stablecoin pairs currently available.

Coinbase offers 3 trading pairs pairs with LCX/USD, LCX/USDT and LCX/EUR, while Kraken also offers 2 trading pairs with LCX/EUR and LCX/USD. Uniswap (https://coinmarketcap.com/currencies/uniswap/) offers an Ethereum (ETH) trading pair; LCX/ETH. LCX Exchange offers a variety of trading pairs including Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH) and USD Coin (USDC) options.

Maple

HELLO Labs

Bittensor

SingularityNET is a blockchain-powered platform that allows anybody to easily "create, share, and monetize" AI services, thanks to its globally-accessible AI marketplace.

Through the SingularityNET marketplace, users can browse, test and purchase a huge variety of AI services using the platform’s native utility token — AGIX. Moreover, the marketplace represents an outlet AI developers can use to publish and sell their AI tools, and easily track their performance.

With the benefits of LLMs and generative AI are increasingly exciting, their limitations are also becoming increasingly apparent. The convergence of structured knowledge with neural networks is emerging as the key to overcoming their shortcomings.

Uniquely positioned at the heart of this convergence, SingularityNET will prioritize the integration of Knowledge Graphs (KGs) and comprehensive Neural Symbolic tools for LLMs, with the goal of empowering developers to create the next generation of AI systems on the SingularityNET Platform.

SingularityNET is strategically positioned to become the Knowledge Layer of the Internet, leading the evolution of the emerging AI landscape while also laying the foundations for the Artificial General Intelligence (AGI) of tomorrow.

The team behind SingularityNET pioneered the development of an AI known as Sophia, which is described as the "world's most expressive robot". SingularityNET’s goal is to enable Sophia to be able to fully understand human language, and continue developing “OpenCog” — an AI framework that is hoped to eventually achieve a state known as “advanced general intelligence,” i.e. human-level artificial intelligence (or beyond).

The platform was first announced in 2017 and completed an initial coin offering (ICO) in December the same year, raising $36 million in just one minute.

SingularityNET

Nakamoto Games

Centrifuge is a decentralized asset financing protocol. It connects decentralized finance (DeFi) with real-world assets (RWA) while trying to lower the cost of capital for small and mid-size enterprises (SMEs) and provide investors with a stable source of income. The main goal of the project is to generate profits that are not tied to volatile crypto assets; the developers are pursuing the task of transferring real monetary value from fiat to cryptocurrencies.

Companies are using Centrifuge to access the liquidity that DeFi has to offer. They can tokenize real assets and use these tokens as collateral to access financing through Tinlake, a decentralized application (DApp) lending protocol. The Centrifuge blockchain is built on Polkadot (DOT) for speed and low fees, while its financial DApp Tinlake is built to access Ethereum (ETH) liquidity.

Centrifuge provides liquidity to everyone and investors receive income and rewards in the form of CFG tokens. Centrifuge links assets such as invoices, real estate and royalties with decentralized finance (DeFi). Additionally, borrowers benefit from the fact that they can finance their real assets without banks or other intermediaries.

Centrifuge

Smart contracts often struggle to access dependable data, but application programming interfaces (APIs) have been touted as a solution to this problem.

API3’s stated goal is to allow decentralized versions of APIs to be built, managed and monetized at scales. As blockchain technology plays an ever bigger role in the economy — from decentralized finance to supply chain management — the team behind this project says it has never been more important for smart contracts to provide “timely, reliable real-world data.”

The whitepaper for API3 was unveiled in September 2020 and set out the main problem that’s associated with APIs at present: connectivity. At present, there’s no way for smart contracts to establish a direct connection with APIs for the latest data — and this has led to an explosion in the popularity of oracles.

Although this has helped solve the problem to some extent, the industry has since been grappling with the “Blockchain Oracle Problem.” Oracles are a form of middleware that sit in between APIs and smart contracts — increasing costs and centralization. API3 intends to get around this problem by enabling API providers to operate their very own nodes.

API3’s token went live at the start of December following on from a token sale that generated tens of millions of dollars.

API3

Ocean Protocol

ALEX Lab

Akash Network

Myria

RenderToken (RNDR) is a distributed GPU rendering network built on top of the Ethereum blockchain, aiming to connect artists and studios in need of GPU compute power with mining partners willing to rent their GPU capabilities out. Conceived in 2009 by OTOY, inc. CEO Jules Urbach and launched in 2017, RNDR held its first public token sale in October of that same year, followed by a private sale period lasting from January 2018 – May 2018, wherein a total of 117,843,239 RNDR were sold at a price of 1 RNDR = $0.25 USD equivalent of token.
During the private sale period, early adopters were onboarded onto the RNDR Beta Testnet, where beta node operators and artists worked collaboratively with the RNDR team in building and testing the network, up until its public launch on April 27th 2020.

Injective is a blockchain built for finance. It is an open, interoperable layer-one blockchain powering next-generation DeFi applications, including decentralized spot and derivatives exchanges, prediction markets, lending protocols and more.

Injective uniquely provides powerful core financial infrastructure primitives that applications can leverage, including a fully decentralized MEV-resistant on-chain orderbook. In addition, all forms of financial markets such as spot, perpetual, futures and options are fully on-chain. The decentralized cross-chain bridging infrastructure is compatible with Ethereum, IBC-enabled blockchains, and non EVM chains such as Solana.

Injective also provides a next-generation, highly interoperable smart contract platform based on CosmWasm, with advanced interchain capabilities. Injective is custom built with the Cosmos SDK and utilizes Tendermint-based Proof-of-Stake consensus mechanism, providing instant transaction finality with the ability to sustain lightning-fast performance (10,000+ TPS).

The Injective ecosystem includes 100+ projects and over 150,000 community members globally. Injective is backed by a group of prominent investors such as Binance, Pantera Capital, Jump Crypto and Mark Cuban.

Injective’s core exchange module provides state-of-the-art capabilities including an advanced on-chain order book and matching engine for spot, perpetual, futures and options markets, resistance to Miner-Extractable Value (MEV) through frequent batch auction order matching, and zero gas fees for users.

Injective natively uses IBC and is highly-interoperable with multiple layer 1s, including, but not limited to, Polygon and Solana (through an upcoming Wormhole integration). It is also uniquely built to be interoperable with Ethereum, through its own decentralized ERC-20 token bridge, making Injective the first network within the Cosmos ecosystem to natively support Ethereum assets.

Smart contracts are implemented on Injective through CosmWasm, allowing for multi-chain smart contract transactions to occur seamlessly. Injective, however, is the only blockchain that enables automatic smart contract execution. This capability serves as a powerful building block for developers to create novel use cases that would not be possible on any other chain.

The use cases intended for INJ include but are not limited to: protocol governance, dApp value capture, Proof-of-Stake (PoS) security, developer incentives and staking. Further details regarding each of these use cases can be found below:

Protocol Governance: The INJ token governs every single component of Injective, including chain upgrades. Since its mainnet launch, the Injective community has actively contributed to governance, with all proposals passing through a DAO governance vote. The comprehensive governance page is available here.

Protocol Fee Value Capture: 60% of all fees generated from dApps enter an on-chain buy-back-and-burn auction to maintain the deflationary nature of INJ. The burn auction page is available here.

Tendermint-based Proof-of-Stake (PoS) Security: INJ is used to secure the Injective blockchain using a proof-of-stake mechanism. Validators and delegators can both participate in staking.

Developer Incentives: 40% of fees generated by users on dApps built on Injective go directly towards incentivizing new developers building on Injective which brings an ever growing funnel of builders to Injective.

Injective

DIMO

Kaspa is a proof-of-work (PoW) cryptocurrency which implements the GHOSTDAG protocol. Unlike traditional blockchains, GHOSTDAG does not orphan blocks created in parallel, rather allows them to coexist and orders them in consensus. The Kaspa blockchain is actually a blockDAG. This generalization of Nakamoto consensus allows for secure operation while maintaining very high block rates (currently one block per second, aiming for 10/sec, dreaming of 100/sec) and minuscule confirmation times dominated by internet latency.

The Kaspa implementation includes a lot of cool features such as Reachability to query the DAG's topology, Block data pruning (with near-future plans for block header pruning), SPV proofs, and later subnetwork support which will make future implementation of layer 2 solutions much easier.

Kaspa

Arweave is a decentralized storage network that seeks to offer a platform for the indefinite storage of data. Describing itself as "a collectively owned hard drive that never forgets," the network primarily hosts "the permaweb" — a permanent, decentralized web with a number of community-driven applications and platforms.

To learn more about this project, check out our deep dive of Arweave.

The Arweave network uses a native cryptocurrency, AR, to pay "miners" to indefinitely store the network's information.

The project was first announced as Archain in August 2017, later rebranding to Arweave in February 2018 and officially launching in June 2018.

Arweave

Synternet is a blockchain that powers modular, interoperable data infrastructure across all major chains. At its core lies the Data Layer, a protocol serving as the customizable execution layer between all blockchains. Its AEAs (Autonomous Economic Agents) empower developers to build composable, use-case-specific applications that can execute on any data from any chain.

Synternet

Quant launched in June 2018 with the goal of connecting blockchains and networks on a global scale, without reducing the efficiency and interoperability of the network. It is the first project to solve the interoperability problem through the creation of the first blockchain operating system.

To learn more about this project, check out our deep dive of Quant.

The project is built as an operating system distributed ledger technology— and Overledger Network — for connecting different blockchain networks. The project is billed as the first OS to be built for blockchains.

The main aim of Quant — using Overledger — is to bridge the gap that exists between different blockchains. The backbone of the project is the Overledger network, which Quant bills as the ecosystem on which the future digital economy ecosystem will be built.

Overledger allows developers to build decentralized multi-chain applications (known as MApps) for their customers. For developers to build a Mapp on the network, they must hold a certain amount of Quant tokens (QNT).